ต่อใบขับขี่ 2565 ต้องทำยังไง เตรียมอะไรบ้าง

 

ใบขับขี่หมดอายุ จำเป็นต้องไปต่อใบขับขี่ จะต้องทำอะไรบ้าง เตรียมอะไรบ้าง สามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไหม ปฏิบัติอย่างไร สามารถอ่านได้จากที่นี่ ต่อใบขับขี่ 2565


ต่อใบขับขี่ 2565 ต้องทำยังไง เตรียมอะไรบ้าง

ต่อใบขับขี่จาก 5 ปี เป็น 5 ปี

การต่อใบอนุญาตจาก 5 ปี เป็น 5 ปี

หลักฐานที่ต้องใช้                  

  1. บัตรประชาชนตัวจริง
  2. ใบอนุญาตฉบับเดิม
  3. ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกิน 1 เดือน

 ขั้นตอนการทดสอบ

  1. ให้อบรมผ่านระบบ e-Learning ได้ทาง www.dlt-elearning.com
  2. จองคิวผ่าน DLT Smart Queue / iOS Link: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์ Link: http://bit.ly/2IkLpyO เพื่อเข้ามาสมรรถภาพและออกใบอนุญาตขับรถ
  3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
  4. ออกใบอนุญาตขับรถ

ค่าธรรมเนียม

  • รถยนต์ 505 บาท
  • รถจักรยานยนต์ 255 บาท

*สามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ 90 วัน
*
หากขาดเกิน ปี ต้องอบรม ชั่วโมง และทดสอบข้อเขียนใหม่
*
หากขาดเกิน ปี ต้องอบรม ชั่วโมง ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับรถใหม่

เปลี่ยนใบขับขี่จาก 2 ปี (ชั่วคราว) เป็น 5 ปี

หลักฐานที่ต้องใช้  

  1.  บัตรประชาชนตัวจริง
  2. ใบอนุญาตฉบับเดิมตัวจริง
  3. ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกิน 1 เดือน

 ขั้นตอนการทดสอบ

  1. จองคิวผ่าน DLT Smart Queue / iOS Link: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์ Link: http://bit.ly/2IkLpyO เพื่อเข้ามาสมรรถภาพและออกใบอนุญาตขับรถ
  2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
  3. ออกใบอนุญาตขับรถ 

ค่าธรรมเนียม

  • รถยนต์ 505 บาท
  • รถจักรยานยนต์ 255 บาท

*สามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ ทันทีที่ถือใบอนุญาตขับรถครบ ปี
*
หากขาดเกิน ปี ต้องอบรม ชั่วโมง และทดสอบข้อเขียนใหม่
*
หากขาดเกิน ปี ต้องอบรม ชั่วโมง ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับรถใหม่

**หมายเหตุ ใบรับรองแพทย์ **(ตามประกาศกฎกระทรวงคมนาคม เรื่องการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ.2563 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลใช้บังคับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ที่ต้องการขอรับและขอต่ออายุใบขับขี่รถทุกชนิด ทุกประเภทต้องมีใบรับรองแพทย์ยื่นประกอบการดำเนินการด้วย) 


ที่มา : https://www.autospinn.com

เรียบเรียง : www.kcycar.com

รถอายุเกิน 7 ปี ต่อภาษีออนไลน์ได้แล้ว ไม่ต้องเดินทางไปขนส่ง

 


   กรมการขนส่งทางบกเปิดให้ผู้ครอบครองรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุเกิน 5 ปี สามารถต่อภาษีประจำปีผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสำนักงานขนส่ง

      กรมการขนส่งทางบกได้ปรับปรุงระบบชำระภาษีรถประจำปีให้สามารถรองรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง), รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้), รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ) ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี และจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก

      ทั้งนี้ รถยนต์ที่ต้องการชำระภาษีจะต้องผ่านการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) เสียก่อน จึงจะสามารถดำเนินการชำระภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้

      การชำระภาษีผ่านเว็บไซต์สามารถเลือกชำระเงินผ่านระบบ e-Banking ของแต่ละธนาคาร, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, เคาน์เตอร์ธนาคาร และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยเจ้าของรถจะได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีและใบเสร็จรับเงินทางไปรษณีย์ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันที่ชำระเงิน รวมถึงสามารถชำระภาษีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วันก่อนวันครบกำหนดชำระภาษี

      ผู้สนใจสามารถชำระภาษีรถออนไลน์ได้ที่ https://eservice.dlt.go.th/

สเป็ค / Option Ford Everest 2016

มีด้วยกัน 3 รุ่นย่อย

2.2 Titanium 4x2 A/T  1,269,000 บาท
3.2 Titanium 4x4 A/T  1,459,000 บาท
3.2 Titanium Plus+ 4x4 A/T  1,599,000 บาท

แต่ละรุ่นย่อยจะมี Option อะไรให้มาบ้าง ส่วนต่างที่จ่ายเพิ่ม
คุ้มหรือไม่ในแต่ละรุ่นย่อย ตามมาดูกันเลยครับ ไล่เรียงตั้งแต่รุ่นย่อยแรก


Everest 2.2 Titanium 4x2 A/T  1,269,000 บาท

อุปกรณ์มาตรฐาน

- เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCi 2.2 ลิตร VG Turbo
- กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 rpm
- แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,500 rpm
- เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา
- ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
- ระบบกันสะเทือนหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์
- กันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ
- กระจังหน้าโครเมียม
- กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว
- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์
- ไฟตัดหมอกหน้า/หลัง
- ราวหลังคา / บันไดข้าง
- สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม
- ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18
- ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ( Cruise Control )
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
- ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบแยกส่วน
- กระจกไฟฟ้าหน้า-หลัง พร้อมระบบเปิด-ปิดสัมผัสเดียวด้านคนขับ
- พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง
- เบาะนั่งหุ้มหนัง
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะแถวที่ 2 พับเรียบได้แบบแยกส่วน 60 : 40
- เบาะแถวที่ 2 ปรับเอนและเลื่อนหน้า-หลังได้
- เบาะแถวที่ 3 พับเรียบได้แบบแยกส่วน 50 : 50
- ช่องต่อไฟ 12V จำนวน 3 จุด
- วิทยุ CD / MP3 / AUX / USB 2 จุด / SD Card
- ระบบสั่งด้วยเสียง SYNC พร้อมเชื่อมต่อ Bluetooth
- สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS / EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัด HLA
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและป้องกันการลื่นไถล TRC
- ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ RSC
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย
- เซนเซอร์กะระยะถอยจอด
- สัญญาณกันขโมย
- กุญแจ Immobilizer
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

------------------------------------------------------------------------------

Everest 3.2 Titanium 4x4 A/T 1,459,000 บาท
( สิ่งที่จะได้เพิ่มจากรุ่น 2.2 Titanium 4x2 A/T + 190,000 บาท)

- เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCi 3.2 ลิตร VG Turbo
- กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 rpm
- แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 rpm
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Terrain Management
- เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential

------------------------------------------------------------------------------

Everest 3.2 Titanium Plus+ 4x4 A/T  1,599,000 บาท
( สิ่งที่จะได้เพิ่มจากรุ่น 3.2 Titanium 4x4 A/T +140,000 บาท)

- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID ปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติพร้อมที่ฉีดทำความสะอาด
- ไฟ Daytime Running Light
- หลังคา Panoramin Sunroof ไฟฟ้า
- ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ
- ล้ออัลลอย 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20
- กระจกไฟฟ้าหน้า-หลัง พร้อมระบบเปิด-ปิดสัมผัสเดียวทุกบาน
- เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะแถวที่ 3 ปรับไฟฟ้า
- ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist
- ไฟตกแต่งห้องโดยสารพร้อมโหมดเปลี่ยนได้ 7 สี
- ชุดชายบันไดแสตนเลส LED
- ถุงลมนิรภัยหัวเข่าด้านคนขับ
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
- กล้องมองภาพขณะถอยจอด
- ระบบตรวจจับรถในจุดบอด BSIS
- ระบบตรวจจับรถขณะออกจากช่องจอด CTA

------------------------------------------------------------------------------

สีภายนอกมีให้เลือก 5 สี

- สีขาว Cool White
- สีดำ Black Mica Metalic
- สีเงิน Aluminum Metalic
- สีน้ำตาลทอง Sparking Gold Metalic
- สีแดง Sunset Metalic



ข้อมลู :  https://community.headlightmag.com
เรียบเรียง www.kcycar.com



ใบขับขี่หมดอายุ สามารถใช้งานได้ ต่ออายุใบขับขี่ อบรมแบบออนไลน์ เริ่ม 31 มีนาคมนี้


  • อบรมออนไลน์ ระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com
  • ใบขับขี่ที่หมดอายุไม่เกิน 1 ปี หรือ 1 ปีขึ้นไป ให้ถือว่ายังสามารถใช้ขับรถได้ โดยให้มาดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
  • ขยายระยะเวลาหรืออายุของใบสำคัญรับรอง ใบอนุญาต สัญญา และหนังสือสำคัญ จากวันที่หมดอายุหรือสิ้นอายุออกไปจนกว่าจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ สามารถใช้ต่อไปได้จนกว่าจะมีการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมประกาศงดการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้สั่งการให้งานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกหน่วยงาน ผ่อนผันขยายระยะเวลาหรืออายุของใบสำคัญรับรอง ใบอนุญาต สัญญา และหนังสือสำคัญ จากวันที่หมดอายุหรือสิ้นอายุออกไปจนกว่าจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
.
กรมการขนส่งทางบกจึงได้ออก ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
.
งดการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
.
ทั้งนี้ กรณีใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้วไม่เกินหนึ่งปี หรือสิ้นอายุเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป หรือครบอายุในระหว่างช่วงงดการดำเนินการ ให้ถือว่ายังสามารถใช้ขับรถได้ โดยให้มาดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
.
นอกจากนี้ ยังให้งดบริการการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก และงดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านใบอนุญาตขับรถ และด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชำระภาษีรถประจำปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน หรือศูนย์บริการร่วม
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกเปิดการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น มีผู้เข้าอบรมแล้วจำนวนกว่า 40,000 ราย ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมแล้วในช่วงที่ผ่านมา และผู้ที่เข้ารับการอบรมตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป สามารถนำผลการอบรมมาดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น โดยการอบรมประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) จำนวน 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง จำนวน 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ รถแท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) จำนวน 3 ชั่วโมง
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า การให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่ง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ รวมถึงบริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกแนะนำให้ใช้ช่องทางชำระภาษีรถประจำปีอื่น โดยไม่ต้องมาติดต่อที่สำนักงานขนส่ง ได้แก่ บริการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก https://eservice.dlt.go.th เคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น แอปพลิเคชัน Truemoney Wallet mPAY ที่ทำการไปรษณีย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)

ขับรถเที่ยวหน้าหนาวให้ปลอดภัยไร้กังวล


ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีฤดูหนาวแบบหฤโหดเหมือนกับทางฝั่งตะวันตกซึ่งต้องเตรียมพร้อมยางลุยหิมะกันยกใหญ่ แต่คนที่ชื่นชอบการขับรถเที่ยวดอยสูงก็ควรเตรียมความพร้อมทั้งคนและรถเช่นกัน
หลายจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคอีสานมักคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศที่ต้องการสัมผัสอากาศหนาวในช่วงปลายปี แน่นอนว่า อุบัติเหตุย่อมมีมากขึ้นตามจำนวนผู้คนที่ขับรถท่องเที่ยวมากกว่าช่วงเวลาปกติ เราจึงขอแนะนำเคล็ดลับการขับรถหน้าหนาวอย่างไรให้ปลอดภัยไร้กังวล

1. อุ่นเครื่องยนต์ให้นานขึ้น
เริ่มจากก่อนออกเดินทาง ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้นานกว่าเดิม อย่างน้อยสัก 1 นาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ได้ “วอร์มอัพ” น้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนต่างๆ มีความพร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของตัวรถ
2. ใช้ไฟตัดหมอก
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะได้ใช้ไฟตัดหมอกให้เป็นประโยชน์ เมื่อต้องขับขี่ผ่านเส้นทางเทือกเขาสูงหรือกระทั่งถนนทางราบในหลายจังหวัดของภาคเหนือและอีสานในช่วงสิ้นปีมักจะมีหมอกควันในช่วงเช้าหรือเย็น (บางครั้งตลอดทั้งวัน) ดังนั้น ควรเปิดไฟตัดหมอกเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยทั้งแก่ผู้ขับขี่เอง และเพื่อนร่วมท้องถนนที่จะเห็นคุณได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ควรเปิดระบบไล่ฝ้าเป็นระยะเพื่อเพิ่มการมองเห็น

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Drive-Safely-in-Fog.jpg
3. หลีกเลี่ยงการจอดไหล่ทาง
ถ้าไม่มีความจำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ไม่ควรจอดรถบริเวณไหล่ทางเนื่องจากทัศนวิสัยที่เลวร้ายทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนได้ง่าย ควรมองหาที่จอดพักรถ ปั๊มน้ำมันหรือจุดชมวิวที่ลึกเข้าไปข้างทาง
4. ขับช้ากว่าปกติ
การขับรถท่ามกลางหมอกควันไม่ต่างจากการขับรถท่ามกลางฝนตกหนัก ควรลดความเร็วลงกว่าปกติเพื่อป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุ เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นถนนหนทางได้ชัดเจนนัก ความเร็วที่ช้าลงจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการตัดสินใจได้มากขึ้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะบนถนนต่างจังหวัดที่มักมีรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานของชาวบ้าน รวมถึงสิงสาราสัตว์จากป่าข้างทาง
5. ปิดแอร์ รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่น
การขับรถขึ้นหรือลงดอยช่วยเปิดโอกาส (ที่ไม่บ่อยครั้งนัก) ให้เราสามารถปิดแอร์และเปิดกระจกเพื่อสัมผัสอากาศเย็นอันบริสุทธิ์ที่พัดผ่านได้ การปิดแอร์ขณะขับรถขึ้นลงดอยสูงยังช่วยประหยัดน้ำมันและถนอมการทำงานของเครื่องยนต์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

เรียบเรียง www.kcycar.com

หม้อน้ำเติมอะไรดีที่สุด “น้ำเปล่า” หรือ “Coolant”


หลายคนอาจสงสัยว่าหม้อน้ำรถยนต์ควรเติมอะไร ? โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับกับรถคันแรก ที่คนข้างบ้านอาจจะบอกว่าเติมน้ำเปล่าก็พอแล้ว หรือช่างผู้เชี่ยวแนะนำให้เติมน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) ดีกว่า เราจะมาไขข้อสงสัย ว่าเติมแบบไหนมีข้อดียังไง และมีข้อเสียอะไรบ้างติดตามกันได้เลยครับ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า “หม้อน้ำ” คือส่วนสำคัญของระบบหล่อเย็นรถยนต์ โดยทำงานร่วมกับปั๊มน้ำ วาล์วน้ำ และพัดลม ซึ่งระบบระบายความร้อนทั้งหมดจะทำงานตั้งแต่เครื่องเริ่มสตาร์ตทันที ในระบบการระบายความร้อนจะมีการใช้น้ำแบบหมุนเวียน ซึ่งน้ำทั้งหมดจะไหลผ่านตามท่อต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
ถ้าเติมน้ำเปล่าไปจะเป็นอย่างไร?
การเติมน้ำเปล่านั้น ช่วงแรก ๆ ที่เติมมาใหม่จะยังไม่มีผลกระทบอะไรมาก แต่ในระยะยาวจะเริ่มออกอาการตามเวลาอย่างตระกรันในหม้อน้ำ หากละเลยไปจะมีการสะสมเรื่อย ๆ จนทำให้หม้อน้ำอุดตัน ยิ่งอะไหล่บางส่วนในเครื่องยนต์ของรถรุ่นใหม่ถูกผลิตด้วยอะลูมิเนียม อาจทำให้เป็นสนิมง่าย เกิดผุกร่อนจนกลายเป็นรอยรั่ว และยังทิ้งเศษตะกอนแดงเอาไว้อีกด้วย
ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ดีกว่าแก้ กับอีกตัวเลือกที่ปกป้องได้มากกว่าอย่าง น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) เพราะมีส่วนผสมของสาร Ethylene Glycol ช่วยชะลอการเดือดได้ดีกว่า ด้วยคุณสมบัติที่มีจุดเดือดสูงกว่าน้ำเกือบ 2 เท่า ทำให้ช่วงอุณหภูมิกว้าง นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันการเกิดสนิมสาเหตุของการผุกร่อน, ช่วยหล่อลื่นปั๊มน้ำให้ทำงานได้ดี, ด้วยสีผสมสารเรืองแสงของน้ำยาหล่อเย็น ช่วยเรื่องการสังเกต ทำให้เห็นรอยรั่วตามอะไหล่ รวมถึงที่พื้นถนนได้ชัดเจนกว่า ในกรณีเกิดปัญหาหกรั่วไหล และที่มองข้ามไปไม่ได้ คือต้องเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงกับน้ำยาหล่อเย็นที่เราแนะนำอย่าง Super Coolant Organic Technology สามารถใช้ได้ทั้งรถเก๋ง, รถปิกอัพ, รถบรรทุก แม้กระทั่งเรือหางยาวก็ใช้ได้เหมือนกัน ช่วยดูแลระบบหล่อเย็นได้อย่างยาวนานถึง 2 ปี หรือ 200,000 กม.
เรียบเรียง www.kcycar.com
ข้อมูล http://www.valvoline.co.th/information/tips/201912.php

ไม่มีใบขับขี่ ประกันรถยนต์จะจ่ายหรือไม่ ?



ไม่มีใบขับขี่ เกิดอุบัติเหตุ จะชดเชยคู่กรณีหรือไม่ ?

ถ้าคุณเป็นคนขับโดยที่ไม่มีใบขับขี่ หากเกิดเหตุอุบัติเหตุและมีคู่กรณี ในเรื่องความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอกนี้ บริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยให้ทั้งตัวร่างกายบุคคลและทรัพย์สินเต็มจำนวน และไม่สามารถเรียกเงินจากผู้เอาประกันได้ แต่ความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกนั้นก็มีข้อยกเว้นอยู่ ดังต่อไปนี้
  1. ไม่คุ้มครองทรัพย์สินของคุณ หรือครอบครัวของคุณหากเกิดอุบัติเหตุเหตุขึ้น เช่น คุณขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนประตูบ้านของคุณแม่คุณ แบบนี้บริษัทประกันภัยจะไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินภายนอก ซึ่งในกรณีนี้ก็คือประตูบ้านของคุณแม่ของคุณ เป็นต้น
  2. ไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินหรือสัมภาระที่อยู่ในรถยนต์ ทั้งในรถยนต์ของคุณและคู่กรณี
  3. ไม่คุ้มครอง เครื่องชั่ง สะพานรถ สะพานรถไฟ ถนน ทางวิ่ง สนาม หรือสิ่งที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือจากน้ำหนักรถยนต์ หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำถนนเสียหาย กรณีนี้ประกันไม่รับผิดชอบความเสียหายต่อถนน เป็นต้น

แล้วรถยนต์ของคุณล่ะ จะคุ้มครองไหม ?

คำถามข้อนี้ ต้องแบ่งออกเป็นสองกรณีก็คือ ถ้าคุณขับรถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ หากว่าคุณเป็น “ฝ่ายถูก” ประกันรถยนต์จะคุ้มครองรถยนต์ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็น “ฝ่ายผิด” บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครอง

แต่ถ้าเป็นกรมธรรม์ที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ล่ะ ?

ต่อจากกรณีที่แล้วถ้าหากคุณเป็น “ฝ่ายผิด” แต่ในกรมธรรม์ประกันรถยนต์นั้น ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นชื่อคุณ บริษัทประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของคุณ เนื่องจากกรมธรรม์แบบระบุผู้ขับขี่นั้น จะถือว่าบริษัทประกันพิจารณาความสามารถ และทักษะในการขับขี่ของผู้ขับขี่ ที่ระบุชื่อเอาไว้ดีแล้วในขณะที่รับทำประกัน แต่โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะขอเอกสารใบขับขี่ เพื่อประกอบในการออกกรมธรรม์อยู่แล้ว

แล้วถ้าเหตุที่เกิดคือรถยนต์สูญหายหรือน้ำท่วมล่ะ ?

ในกรณีนี้บริษัทประกันรถยนต์ จะต้องให้ความคุ้มครองแน่นอน ไม่ว่าผู้ขับขี่จะมีใบขับขี่หรือไม่? เพราะการที่รถยนต์สูญหายหรือเกิดน้ำท่วมนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทักษะความสามารถในการขับขี่ของผู้ขับขี่ เพราะการขับขี่ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงภัยกับกรณีเหล่านี้

กรณีอื่น ๆ ที่ประกันภัยรถยนต์ไม่คุ้มครอง

นอกจากการขับขี่รถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่ อาจจะเป็นสาเหตุที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองอีก แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 จะได้ชื่อว่าเป็นประกันที่เคลมได้ทุกอย่าง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดแบบกว้าง ๆ เท่านั้น ตามความเป็นจริงไม่สามารถที่จะเคลมได้ทุกกรณี ซึ่งข้อยกเว้นมีดังนี้
  1. ใช้ใบขับขี่ผิดประเภท เช่น มีใบขับขี่ของรถจกรยานยนต์ แต่มาใช้ในการขับรถยนต์ ถ้าหากว่าเกิดเหตุอาจจะไม่ได้รับการคุ้มครอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อาจจะเข้าข่ายผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ดังข้อมูลข้างต้น
  2. เมาแล้วขับ โดยที่ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่เลือดตั้งแต่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ขึ้นไป ในขณะที่ขับขี่
  3. นำรถยนต์ไปใช้นอกเขตความคุ้มครอง ซึ่งหมายถึงนอกประเทศไทยนั่นเอง
  4. นำรถยนต์คันเอาประกัน ไปใช้ในการลากจูงหรือผลักดัน ซึ่งหากเกิดเหตุเสียหายกับรถยนต์ จะถือว่าเป็นความประมาทของเจ้าของรถยนต์เอง
  5. ใช้รถยนต์ในการไปแข่งขันความเร็ว
  6. ใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมาย เช่น นำรถยนต์ไปใช้ปล้น หรือขนยาเสพติด เป็นต้น
โดยตัวอย่างข้างต้นนั่น เป็นเพียงบางส่วนของข้อยกเว้นในการรับประกันรถยนต์ โดยบางกรณีบริษัทประกันภัยอาจจะรับผิดชอบบางส่วน บางกรณีอาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด ฉะนั้น ก่อนที่คุณจะทำประกันรถยนต์ ควรที่จะศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้ละเอียดถี่ถ้วน เผื่อในกรณีที่เกิดเหตุขึ้นแล้วบริษัทประกันภัยไม่คุ้มครอง