5เทคนิคดูแลและตรวจสอบ หม้อน้ำ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หม้อน้ำรถยนต์

1.เทคนิคการดูแลรักษาหม้อน้ำ

  • ตรวจสอบระดับน้ำรวมถึงสภาพสีของน้ำหม้อน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • ตรวจสอบสภาพสายพานและท่อยางไม่มีรอยแตกรายงา ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป
  • ตรวจสอบการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ หมุนปกติหรือไม่ หมุนอย่างมีแรง มีลมหรือไม่
  • ตรวจสอบใต้ท้องรถและในห้องเครื่องด้วยสายตาเพื่อหาว่ามีรอยน้ำหล่อเย็นรั่วซึมหรือไม่
(การตรวจสอบพัดลมว่าหมุนหรือไม่อย่างง่ายๆ ทำได้โดย บิกุญดแจ on เปิดแอร์ ไม่ต้องสตาร์ทรถ จากนั้นสังเกตพัดลมหม้อน้ำและพัดลมแอร์ต้องหมุนพร้อมกันทั้ง 2 ตัว)

2.เทคนิคตรวจสอบเมื่อเกจความร้อนขึ้นสูง

  1. ตรวจสอบระดับน้ำที่หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่?
    ถ้าลดลง แสดงอาจเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
  2. เข็มความร้อนขึ้นเมื่อใด?
    1)ถ้าเข็มขึ้นขณะที่รถติดและเข็มลงเมื่อรถวิ่ง กรณีนี้ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยอาจเป็นอาการเสียจาก พัดลมไฟฟ้า, รีเลย์พัดลมไฟฟ้า, เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด
    2)ถ้าเข็มขึ้นขณะที่รถกำลังวิ่งเท่านั้น กรณีนี้ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากหม้อน้ำอุดตัน
    3)ถ้าเข็มขึ้นตลอด ทั้งตอนรถติดและรถวิ่ง อาจเกิดมาจาหลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เพราะมีการรั่วซึม(ลองสังเกตดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างหรือไม่) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำเสียทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (ตรวจสอบเบื้องต้นโดย ลองสัมผัสที่ท่อยางน้ำที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่างเย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อเย็นเครื่องไม่เพียงพอ
    4)บางทีเข็มขึ้น บางทีก็ไม่ขึ้น  ประกอบกับตรวจสอบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าเข็มความร้อนแสดงค่าผิดเพี้ยนไป

3.เทคนิคตรวจสอบหม้อน้ำรั่วตามด

ถ้ารถของคุณมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้แสดงว่ามีการรั่วตามดที่หม้อน้ำรถคุณเข้าแล้ว
1.น้ำหม้อน้ำหายและเครื่องร้อนเร็วมากๆ ทั้งตอนวิ่งทางไกลและตอนรถติด
2.เติมน้ำหม้อน้ำบ่อยครั้งละ ½ ถึง 1 ลิตร
3.น้ำหม้อน้ำไม่ได้ดันมาเก็บที่หม้อพักน้ำ
4.จอดแล้วมีน้ำหยดเวลาเครื่องร้อน

4.เทคนิคตรวจสอบฝาสูบโก่ง

โดยทั่วไปฝาสูบเครื่องยนต์จะไม่โก่งกันง่ายๆ ถ้าฝาสูบเริ่มโก่งแสดงว่าต้องเคย overheat มาบ้างแล้ว และฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติมน้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ ส่วนเทคนิคการตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือไม่มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
  1. เปิดฝาหม้อน้ำออก จากนั้นนำขวดน้ำพลาสติกตัดครึ่งไปประกบที่ฝาหม้อน้ำ
  2. เติมน้ำลงที่ขวดพลาสติก(ตัดครึ่ง) จากนั้นทำการติดเครื่องและเร่งเครื่อง
  3. คอยสังเกตว่ามีฟองอากาศลอยจากหม้อน้ำสู่ขวดพลาสติก(ตัดครึ่ง)หรือไม่ ถ้ามีฟองอากาศขึ้นแสดงว่าฝาสูบเครื่องยนต์เริ่มโก่งแล้ว แต่ถ้าไม่มีฟองอากาศแสดงว่าฝาสูบเครื่องยนต์ยังปกติดี
หมายเหตุ
1.เรื่องความร้อนที่ผิดปกติ โดยส่วนใหญ่อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ตรวจสอบอาการโดยละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไปเรื่อยๆ
2.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบจริงๆ ควรเปลี่ยนเป็นของมือสอง ไม่แนะนำให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม

5.เทคนิคแก้ไขเบื้องต้นเมื่อเครื่องร้อนจัด

1.เมื่อเครื่องยนต์เริ่มที่จะร้อนขึ้นแต่ยังไม่มาก ให้ทำการปิดเครื่องปรับอากาศก่อน แล้วจึงตรวจสอบอุณหภูมิเครื่องยนต์ผ่านหน้าปัด ว่าอุณหภูมิลดลงหรือไม่ เพราะอาจเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนและจราจรติดขัด
2.ถ้าเครื่องร้อนจัดมากขึ้นให้ทำการจอดทันที แต่ยังไม่ต้องดับเครื่อง ให้เปิดฝากระโปรงเพื่อเป็นการระบายความร้อนและทำการตรวจสอบว่าพัดลมหมุนหรือไม่ สายพานขาดหรือไม่ตรวจสอบพบรอยน้ำหล่อเย็นรั่วซึมหรือไม่
3.จากนั้นจึงดับเครื่องและตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ ถ้าระดับน้ำหล่อเย็นลดลงมากให้รอจนเครื่องเย็นแล้วจึงเติมน้ำจนถึงระดับปกติ แล้วจึงขับรถประคองไปจนถึงอู่รถหรือศูนย์บริการใกล้ๆ หากเครื่องยนต์ยังร้อนจัดก็ให้จอดรถและดับเครื่องเติมน้ำอีกครั้ง
ข้อควรระวัง :
ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะอาจได้รับอันตรายจากน้ำหล่อเย็นที่เดือด และกรณีเครื่องยนต์ร้อนจัดจนมีไอน้ำจากเล็ดรอดจากฝากระโปรง ห้ามเปิดฝากระโปรง ให้รอจนเครื่องเย็นก่อน
radiator checkFlowchart

ที่มา : topspeedtraining.wordpress.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar


ฟิล์มรถยนต์หมดอายุดูยังไง


โดยทั่วไปฟิล์มรถยนต์จะรับประกันคุณภาพอยู่ที่ประมาณ 7 ปี แต่เอาเข้าจริงๆแล้วคุณภาพ ขึ้นอยู่กับการใช้รถและการจอดรถของแต่ละบุคคล เช่นบางทางจอดตากแดดๆแรงแทบทุกวัน ใช้น้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย ก็มีส่วนทำให้อายุของฟิล์มนั้นสั้นลง  งั้นเราจะรู้ได้ไงว่าฟิล์มนั้นใกล้หมดอายุแล้ว

1.สังเกตจากสีของฟิล์ม จะมีการเปลี่ยนแปลง  เช่นสีซีดลง เช่นฟิล์มสีดำก็จะออกเป็นม่วงๆ

2.เกิดฟองอากาศที่กระจก โดยจะเห็นกระจกที่เราติดฟิล์มเกิดฟองอากาศเพิ่มขึ้นบางทีก็จะขึ้นเป็นย่นๆ 

3.พอฟิล์มที่เริ่มเสื่อมอีกอาการนึงที่สังเกตได้คือ เราจะเห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด เหมือนเราไม่ได้ใส่แว่นหรือมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา ซึ่งเกิดผลเสียกับการขับรถ มองมันจะทำให้เรารู้สึกมึนๆหัว หรือปวดตา การป้องกันความร้อนก็จะด้อยลง
และถ้าเราปล่อยให้ฟิล์มให้เสื่อมสภาพ ทิ้งไว้นานๆพอลอกออกอาจจะทำให้กระจกเกิดความเสียหายได้ด้วย

ข้อมูล : toyotanont.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar




มาดูวิธียืดอายุ แอร์รถยนต์ ให้อยู่กับรถคุณไปนานๆ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
เป็นที่รู้กันว่าเมืองไทยนั้นร้อนขึ้นทุกปี บางคนไม่มีธุระไปไหนก็นอนแช่แอร์อยู่กับบ้านสบายๆ แต่ใครมีเหตุจำเป็นที่ต้องขับรถออกไปข้างนอกบอกไว้ก่อนเลยว่าต้องทำใจเจอกับอากาศที่ทั้งร้อน ทั้งอบอ้าว ยิ่งรถปีเก่าหน่อยแอร์รถก็ทำความเย็นได้ไม่เร็วพอก็ต้องทนร้อนเหงื่อแตกอยู่ในรถกันซักพักนึง ยิ่งใครรถสีดำ เบาะก็เป็นหนังสีดำด้วยแล้ว แทบจะสุกคารถกันเลยทีเดียว แต่ทำยังไงได้ก็ต้องทนเพราะใจมันรักรถสีดำเลยขอเท่ไว้ก่อน แต่เดี๋ยวนี้รถยนต์รุ่นใหม่ๆทำความเย็นกันได้เร็วขึ้นสบายหน่อย ขึ้นรถได้ก็บิดแอร์เย็ดสุดให้ชื่นช่ำกันเลย ฉนั้นรถยนต์ในเมืองไทยสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือแอร์รถต้องเย็น วันนี้เลยมีเคล็ดลับเด็ดๆ ดีๆมาฝากไว้สำหรับการดูแลแอร์รถของเราให้อยู่กับเราไปนานๆ

เทคนิคง่ายๆในการดูแลรักษาแอร์รถยนต์

1. ตอนสตาร์ทรถระหว่างรอให้เครื่องยนต์พร้อมใช้งาน ให้เปิดแอร์โดยที่ไม่เปิด (A/C) ก่อน เมื่อเครื่องยนต์พร้อมใช้งานแล้วค่อยกดเปิด (A/C)เพื่อทำความเย็นตามปกติ
2. ไม่ควรปรับแอร์ที่โหมดการทำความเย็นสูงสุดตลอด  เพราะด้วยอากาศบ้านเราจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป ถ้าใครร้อนทนไม่ไหวก็ควรมีจังหวะสลับลดระดับความเย็นลงมาบ้าง
3. ให้หลีกเลี่ยงการเปิดกระจกในขณะที่เปิดแอร์อยู่ เพราะคอมเพรสเซอร์จะทำงานหนักเช่นกัน บางคนเปิดกระจกรถเพื่อสูบบุหรี่ก็ควรปิดเแอร์หรือปิด (A/C) ไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด
4. ก่อนถึงที่หมายให้ทำการปิด (A/C) ไว้ก่อนซัก 5-10 นาที ช่วยลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ที่สำคัญยังช่วยเรื่องของกลิ่นอับที่เกิดกับแอร์อีกด้วย
5. เช็คระยะเพื่อล้างตู้แอร์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนมากก็จะล้างตู้แอร์ที่ประมาณ 20,000 – 25,000 กิโล พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ไปด้วยเลยก็จะดีมาก
6. ล้างตัวกรองอากาศของแอร์ไม่ให้สกปรกหรืออุดตัน ทางที่ดีก็เปลี่ยนตัวกรองอากาศพร้อมล้างตู้แอร์ทุกๆ 20,000 กิโลเช่นกัน

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar


ไม่ใช่เรื่องยาก กับการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนรถด้วยตัวเอง

 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เปลี่ยนยางปัดน้ำฝน ด้วยตัวเอง

เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนให้รถของคุณไม่ยาก เพียงแค่ 11 ขั้นตอนง่าย ๆ คุณก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
          การเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนด้วยตัวคุณเอง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเว็บไซต์วิกิฮาว ได้นำเสนอวิธีการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใน 11 ขั้นตอนง่าย ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้กับรถที่มีในปัดน้ำฝนที่กระจกหน้าแบบมาตรฐานได้ถึง 90% เลยทีเดียว โดยก่อนหน้านั้นคุณก็แค่ต้องไปเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนให้ถูกขนาดตามหน่วยวัดที่ความยาวเป็นนิ้วเท่านั้น
          
เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 1

          ถ้าใบปัดน้ำฝนของรถคุณสามารถจับยกขึ้นได้ตามปกติ สามารถข้ามไปดูต่อในขั้นตอนที่ 3 ได้เลย แต่ถ้าใบปัดน้ำฝนของคุณไม่สามารถยกขึ้นได้ คุณก็วางมันลงตามปกติ และเข้าไปในรถเพื่อบิดกุญแจรถไปยังตำแหน่งแรกหรือตำแหน่งที่ 2 จากนั้นก็เปิดการทำงานของใบปัดน้ำฝน รอจนใบปัดน้ำฝนของคุณถูกยกขึ้นมาทำมุม 45 องศาแล้วก็รีบดึงกุญแจรถออก เพื่อให้ใบปัดน้ำฝนหยุดค้างอยู่ในตำแหน่งนั้น ทีนี้คุณก็สามารถดึงใบปัดน้ำฝนขึ้นมาจากกระจกหน้ารถได้แล้ว

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 2. 

          ในตอนนี้ เราจะเริ่มนำใบปัดน้ำฝนของเดิมออกกัน โดยให้คุณหมุนดึงส่วนล่างของใบปัดน้ำฝนออกมา

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 3. 

          ดึงใบปัดน้ำฝนออกมาต่อ จนทำมุม 90 องศาจากแขนปัดน้ำฝน ดังรูป

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 4. 

          ในตอนนี้คุณจะเห็นคลิปเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากกึ่งกลางของใบปัดน้ำฝน ให้คุณใช้นิ้วดึงคลิปนั่นลงมา พร้อม ๆ ดันใบปัดน้ำฝนลง และต้องใช้แรงดึงใบปัดน้ำฝนไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้กระดิก

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 5. 

          ดึงอีกด้านหนึ่งของใบปัดน้ำฝนลง เพื่อจะนำตะขอที่แขนปัดน้ำฝนออกจากใบปัดน้ำฝน ดังรูป 

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 6. 

          ในตอนนี้คุณจะสามารถนำใบปัดน้ำฝนออกจากแขนปัดน้ำฝนได้แล้ว 

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 7. 

          นำใบปัดน้ำฝนชิ้นใหม่ออกมาจากถุง 

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 8. 

          นำใบปัดน้ำฝนอันใหม่ไปสวมเข้าที่แขนปัดน้ำฝน โดยสอดตะขอที่แขนปัดน้ำฝนเข้าไปเพื่อที่จะเกี่ยวกับคลิปในใบปัดน้ำฝน

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 9. 

          ดึงใบปัดน้ำฝนขึ้น จะทำให้ตะขอที่แขนปัดน้ำฝน เกี่ยวเข้ากับคลิปพอดี ซึ่งในขั้นตอนนี้ถ้าใช้ทั้ง 2 มือช่วยจะทำได้ง่ายมาก

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 10. 
          ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตะขอของแขนปัดน้ำฝน เกี่ยวเข้ากับคลิปของใบปัดน้ำฝนดีแล้ว ซึ่งส่วนปลายของแขนปัดน้ำฝนควรจะเข้าไปอยู่ในใบปัดน้ำฝนราว 1 เซนติเมตรตามภาพ และเมื่อคุณตรวจสอบดีแล้ว ให้หมุนดันใบปัดน้ำฝน ให้ด้านหลังของแขนปัดน้ำฝนอยู่ขนานกับใบปัดน้ำฝน หรือเป็นขั้นตอนตรงข้ามของขั้นตอนที่ 3 

เปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

          ขั้นตอนที่ 11. 

          และขั้นตอนสุดท้ายก็คือ วางใบปัดน้ำฝนลงบนกระจกหน้ารถตามเดิม และหากใบปัดน้ำฝนของคุณยังคงค้างอยู่ที่ตำแหน่ง 45 องศา เพียงแค่คุณเปิดการใช้งานใบปัดน้ำฝน มันก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติตามเดิม

ภาพประกอบจาก wikihow.com
  ขอบคุณที่มา https://car.kapook.com/view60114.html


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar


รถเก่า !! เกิน 7 ปี รัฐฯ เตรียมปรับขึ้นภาษี อ้างแก้ปัญหามลพิษ กระตุ้นตลาดรถยนต์

อวสานรถเก่า !! เกิน 7 ปี รัฐฯ เตรียมปรับขึ้นภาษี อ้างแก้ปัญหามลพิษ กระตุ้นตลาดรถยนต์

วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน อย่างง่ายๆ

บางคนอาจจะเบื่อเวลาล้างรถในหน้าฝน เพราะล้างทีไร ฝนก็ตกทุกที เรามีวิธีการดูแลรถแบบง่ายๆ มาให้ลองทำกัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ลุยฝน 
"ลุยฝนมา ต้องทำความสะอาดให้รถกันนะครับ" หลายคนคงเบื่อกับการที่ล้างรถเสร็จแล้วฝนตก ต้องลุยฝนอีกไม่น่าล้างเลย ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับสำหรับคนรักรถทั้งหลาย ไม่ควรปล่อยให้รถของท่านที่ลุยฝนมา ค้างไว้หลายวัน เพราะมันจะมีคราบสิ่งสกปรกต่างๆ นาๆ ติดไปกับรถคุณ และอาจจะทำให้คราบฝังแน่นจะล้างไม่ออกเลยก็ได้ครับ ลองมาดูวิธีการดูแลรักษารถในหน้าฝนกันดีกว่า
1. ควรล้างรถอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่ได้ลุยฝนกัน เพื่อจะช่วยไม่ให้เกิดคราบฝังแน่น ส่วนถ้าบางคนไม่มีเวลาที่จะล้างรถจริงๆ ก็ควรที่จะฉีดน้ำไล่พวกคราบสิ่งสกปรกออกไป 
2. หลังจากที่เราขับรถลุยฝนมานั้น ควรหาที่จอดร่มๆ ไม่ควรจอดตากแดดไว้เพราะอาจจะให้คราบน้ำฝนแห้งทำให้เกิดเป็นคราบน้ำขึ้นมาได้ ถ้าเกิดคราบน้ำขึ้นแล้วเราล้างไม่ออก ควรนำรถของคุณไปเข้าร้านขัดสีด่วนเลยนะ
3. ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก อาจทำให้เกิดรอยได้ ควรฉีดน้ำล้างจะดีที่สุด แล้วค่อยเช็ดอีกที
4. ไม่ควรล้างรถในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ อาจจะมีน้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอกรถ อาจจะก่อให้เกิดการเป็นสนิมขึ้นมาได้
5. ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้เพราะในฤดูฝน อาจจะมีลมแรง ต้นไม้อาจจะหักหรือล้มมาโดนรถ สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้ผิวสีด่างและเสียได้ ถ้าเราไม่รีบดูแลกันอย่างเร่งด่วน
6. ควรมีการเคลือบสีรถหากมีเวลาว่าง จะทำให้ให้รถเราสวยงามขึ้นแล้ว ก็แนะนำให้เคลือบสีด้วยครับการเคลือบสีนั้น ยังช่วยป้องกันคราบน้ำ ถ้าเราเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ ทำให้ลดการเกิดคราบน้ำ แถมยังช่วยให้เราล้างรถได้ง่ายขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าเราไม่เคลือบสีเลย โอกาสเกิดคราบน้ำก็มีสูง คราบสกปรกก็จะฝังตัวได้ง่าย ทำให้เราล้างรถลำบากมากขึ้น
ที่มา : autodeft.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar


วิธีการดูแลรถยนต์สีดำ ให้สวยอยู่ได้นาน



1.       หมั่นล้างทำความสะอาดรถอย่างน้อยๆ อาทิตย์ละ ครั้ง แม้ว่ารถของเราจะเป็นรถแต่การล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกอาทิตย์ช่วยคืนความสดใสให้รถของเราได้ เพราะได้รับการชำระฝุ่นผงและคราบสกปรกที่ติดผิวของรถออกไป การปล่อยทิ้งไว้นานไม่มีการล้าง ทำให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่น

 

2.       ในการล้างทำความสะอาดรถสีดำ เราจะต้องใช้น้ำสะอาดฉีดล้างคราบฝุ่นผงออกให้มากที่สุดก็ที่จะมีการใช้ผ้าเปียกเช็ดถูไปเบาๆ และควรเช็ดไปในทางเดียว

 

3.       ห้ามใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้าแห้งๆ เช็ดทำความสะอาดรถเด็ดขาด อันนี้สำคัญมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถเพราะการที่เราใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้ามาปัดๆ เช็ดๆ หวังว่าจะเป็นการทำความสะอาดนั้น มันเป็นตัวการทำให้เกิดรอยขีดข่วนขนาดเล็กที่เรียกว่ารอยขนแมว ซึ่งมันเห็นได้ชัดมากๆ ในรถสีดำ !!! ที่เป็นเช่นนี้ก็เกิดจาก เวลาที่เราปัด หรือเช็ด เอาฝุ่นผงออก มันเป็นการไปกดให้เม็ดฝุ่นเม็ดทรายขนาดเล็กที่มีความแข็งกว่าชั้นผิวด้านนอกของสีรถ ครูดไปมา ไม่ต่างจากกระดาษทราบเอาลงไปปัด ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ขึ้นได้

 

4.       ทำการเคลือบสีรถ หากเป็นการใช้แว็กซ์ทั่วไป ก็ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ แต่หากว่าสามารถทำได้ ก็ไปเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิค ที่มั่นใจได้ว่ามีความแข็งและลื่นเคลือบเอาไว้อีกชั้น เป็นการเพิ่มความมั่นใจและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสีรถ
 

5.       ในกรณีที่ รถ ของเรามีรอยขีดข่วนมาเยอะ ก็ควรเอาไปทำการขัดสีและทำเคลือบสีเอาไว้ ก็จะทำให้รถสีดำของเราสวยทนสวยนานมีความเงางามอยู่เสมอ

ที่มา : www.carszana.com


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcycar