6 ตัวช่วยสำหรับทำประกันภัยสำหรับรถยนต์ให้คุ้มค่า

6 ตัวช่วยสำหรับทำประกันภัยสำหรับรถยนต์ให้คุ้มค่า
เมื่อมาถึงการทำประกันภัย มั่นใจว่าทุกคนต้องการทำให้มันครอบคลุมเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแต่ก็ไม่อยากจ่ายเกินไปจึงได้ละเลยเรื่องประกันภัยสำหรับรถยนต์ไป
1. ทบทวนสัญญาและเปรียบเทียบให้ดีก่อนที่จะตกลงทำประกันหลังจากที่เลือกได้แล้วว่าจะจำประกันชนิดไหนๆ อย่าลืมที่จะเปรียบเทียบเบี้ยประกันกับผู้ให้บริการ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีเคลมก็ไม่ได้หมายความว่า เบี้ยประกันกับความคุ้มครองเดิมจะเหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
2. ตรวจสอบประวัติการขับขี่ของคุณตรวจสอบและเช็คประวัติการขับขี่ของคุณให้ดีไม่ว่าจะเป็นการได้รับใบสั่งหรืออื่นๆ เพราะถ้ามีประวัติไม่ดีเกี่ยวกับการขับขี่แล้ว ค่าประกันภัยก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
3. วิเคราะห์ว่าคุณต้องการการคุ้มครองเท่าไรการที่จะหาประกันสำหรับรถยนต์สิ่งแรกที่ควรทำคือเริ่มต้นคิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนในการคุ้มครองที่คุณต้องการและคุ้มครองในส่วนของอะไรบ้าง หลักๆแล้วความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ มีดังนี้ความคุ้มทรพย์สินของบุคคลอื่น -ความคุ้มครองการซ่อมรถคันเอาประกันภัย -ความคุ้มครองรถหาย-ไฟไหม้ คุณต้องย้อนกลับไปมองสภาพแวดล้อมส่วนตัวของคุณเอง ถ้าเป็นรถเก่ามูลค่าน้อย, ลักษณะนิสัยการขับขี่ของคุณ รวมไปถึงระยะทางการใช้งานอีกด้วย หรือมีรถหลายคันบางคันใช้ไม่บ่อย ซึ่งถ้าคุณตัดสินใจได้แล้วมันอาจประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากทีเดียว
4. มองหาส่วนลดเมื่อคุณค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้ว อย่าลืมที่จะใช้ประโยชน์ในการที่จะหาข้อมูลในส่วนของส่วนลด เช่น บางบริษัทจะมีส่วนรถให้พิเศษสำหรับผู้ที่มีประวัติการขับรถดี หรือ บางบริษัทจะมีส่วนลดในราคาพิเศษสำหรับรถที่วิ่งในไมล์ที่ไม่เยอะ
5. ทบทวนเงื่อนไข ของประกันแต่ละขั้นอ่านและวิเคราะห์ให้ดีถึงระเบียบและข้อตกลงเงื่อนไขข้อประกันภัยที่คุณทำอยู่ในปัจจุบัน หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ที่คอยให้ความช่วยเหลือในบริษัทประกันภัยจดข้อมูลที่จำเป็นเช่นประกันภัยนั้นๆครอบคลุมในส่วนของอะไรบ้างแล้วคุณจ่ายค่าประกันอะไรไปบ้าง ทำบัญชีรายจ่ายของการจ่ายค่าประกันทั้งรายปีและรายเดือน
6. ติดต่อกับทางบริษัทเมื่อคุณได้ค้นคว่าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้ว บางทีข้อมูลอาจจะยังไม่เพียงพอ แนะนำให้คุณโทรไปสอบถามกับทางบริษัทโดยตรงเลย โดยทั่วไปแล้วการโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่พนักงานนั้นจะได้ข้อมูลที่แน่ชัดและรวดเร็วกว่าทางอินเตอร์เน็ต
ให้ 6 ข้อนี้ เป็นอีกตัวช่วยในการทบทวน ในการเลือกทำประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้คุณ เสียเงินอย่างคุ้มค่าที่สุด

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ผ่อนรถไม่ไหว ปล่อยให้รถยนต์ถูกยึดคุ้มไหม มีผลเสียอะไรบ้าง


ผ่อนรถไม่ไหว ปล่อยให้รถยนต์ถูกยึดคุ้มไหม มีผลเสียอะไรบ้าง
เชื่อว่าหลายคนในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาทางการเงิน จนทำให้ไม่สามารถนำเงินมาชำระค่างวดรถยนต์ได้ตามนัดหมาย ซึ่งโดยปกติแล้ว หากผิดนัดชำระติดต่อกันมากกว่า 4 งวด ทางไฟแนนซ์มีสิทธิ์ยึดรถของเราได้
แน่นอนว่ามนุษย์กินเงินเดือนส่วนใหญ่ หรือเจ้าของธุรกิจที่ดำเนินไปไม่สวยอย่างคาดหวังไว้ อาจต้องพบกับปัญหาด้านการเงินให้กวนใจกันอยู่บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแทบทั่วทุกหนแห่งในสังคมแต่หากปล่อยปัญหาให้ลุกลามมาจนถึงการค้างค่างวดรถยนต์แล้วนั้น ตามกฎหมายอนุโลมให้ผู้เช่าซื้อสามารถค้างค่างวดได้เป็นจำนวน 3 งวด หากเกินกว่านั้น บริษัทไฟแนนซ์มีสิทธิ์เข้ายึดรถได้ในทันที
จุดนี้เองทำให้หลายคนที่กำลังมีปัญหากับการหาเงินมาจ่ายค่างวดรถไม่ไหว อาจเลือกวิธีปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถไปเลยแล้วถือว่าจบกัน เพราะคิดว่ายอมเสียรถไปเสียดีกว่าจะนั่งผ่อนต่อ แถมยังไม่ต้องจ่ายค่างวดที่ค้างไว้อีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่า หากปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถไปแล้วนั้น หายนะก้อนใหญ่อีกลูกกำลังรอเข้ากระหน่ำแบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ไหนจะหนี้ค่างวดรถก้อนโตกับภาระอย่างอื่นที่จะต้องดูแลไม่แพ้กัน หลายคนจึงยอมตัดใจปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดไปเสียแต่โดยดี เพราะคิดว่าจะเป็นการตัดหนี้สินรถยนต์ให้พ้นตัวและนั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่คาดไม่ถึง


เมื่อไฟแนนซ์ได้นำรถของคุณกลับไปแล้ว ก็จะนำมาประกาศขายทอดตลาด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาดมากจนน่าใจหาย
จากนั้นทางไฟแนนซ์จะนำเงินส่วนที่ขายได้ มาหักลบกลบหนี้ที่ลูกหนี้ยังคงค้างไว้ (ส่วนใหญ่มักไม่พอทบหนี้ที่เหลือเสียด้วยสิ) แถมยังเรียกค่าจิปาถะอีกมากมาย เช่น ค่าขาดประโยชน์, ค่าติดตามทวงถาม, ค่าครอบครองรถขณะรอขายทอดตลาด เป็นต้น
เมื่อได้ตัวเลขเหล่านี้มา ทางไฟแนนซ์ก็จะยื่นฟ้องร้องค่าเสียหายกับลูกหนี้อีกครั้ง ซึ่งหลายไฟแนนซ์มักเรียกสูงกว่าความเป็นจริง  และนั่นยิ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้ลูกหนี้หนักเข้าไปอีก ไหนรถก็ถูกยึดไปแล้ว แถมยังต้องมาจ่ายเงินก้อนที่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความอีก
ประกอบกับติดแบล็คลิสในเครดิตบูโร เนื่องจากขาดส่งติดต่อกันหลายงวด ส่งผลให้ทำธุรกรรมทางการเงินได้ยากลำบาก หากไม่พึ่งเงินนอกระบบดอกเบี้ยแสนแพง ก็คงต้องหันหน้าเข้าหาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง จนพาลจะพาให้เลิกคบกันอีก
เห็นไหมครับว่า การปล่อยให้รถถูกยึดนั้น ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ทางที่ดีหากเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ควรรีบหาเงินมาชำระอย่างน้อย 1 งวด เพื่อไม่ให้รถโดนยึด จากนั้น จะหาช่องทางสร้างรายได้อื่นๆจากไหนอีกก็ว่ากันไป
แต่หากรถยังมีสภาพดีเป็นที่สนใจของตลาดอาจใช้วิธีเปลี่ยนสัญญา โดยการหาผู้ซื้อมาผ่อนต่อ ถ้าโชคดีอาจได้เงินติดกระเป๋ากลับมาบ้าง ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ผ่อนไปแล้วด้วยนั่นเอง แต่ทางที่ดีการมีวินัยทางการเงิน ถือเป็นสิ่งพื้นฐานที่ทุกคนควรพึงปฏิบัติ จะได้ไม่ต้องมาลำบากใจเอาภายหลังครับ
เรียบเรียง : Kcycar.com
ข้อมูล : sanook.com 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook



10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน


มื่อเกิดอุบัติเหตุควรตั้งสติให้ดีอย่าตกใจ

          เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์นวันนี้ทางทีมงานจะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรรู้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ว่าต้องควรปฎิบัติอย่างไรซึ่งหลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน และหากมีการปฎิบัติที่ผิดขั้นก็อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้เช่นกัน เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้


เมื่อเกิดอุบัติเหตไม่ควรเคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุจนว่าจะทราบฝ่ายผิด

          เรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนนั้นถือว่า มีประโยชน์อย่างมากในการทำตาม เพราะถ้าหากมีการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลตามมาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนมีดังนี้
1.ควรหยุดรถทันที
          ควรทำการหยุดรถทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม และไม่ควรเคลื่อนย้ายรถหากว่ายังไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องอุบัติเหตุว่าใครเป็นผู้ที่ผิด ทางทีดีควรรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตีเส้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวก็ควรที่จะเลื่อนรถไปจอดในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกจี้ปล้นในที่เปลี่ยว 
2.อย่าพูดขอโทษ
          เรื่องของการพูดขอโทษเมื่อเกิดอุบัติเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การพูดขอโทษในบางครั้งอาจจะเป็นการยอมรับว่าคุณได้เป็นฝ่ายกระทำผิด ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 
3.ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
          เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้ละเอียด แก่ประกันภัยของคู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
4.ขอข้อมูล
           หลังจากที่เราได้ให้ข้อมูลดังกล่าว ไปแล้วเราก็ควรข้อข้อมูลรถคู่กรณีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากคู่กรณีไม่ให้ข้อมูล ก็ควรจดเลขทะเบียนและรูปพรรณของรถเอาไว้

5.แจ้งตำรวจ
          เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือน้อย ก็ตามควรที่จะแจ้งตำรวจทุกครั้งหากเกิด อีกฝ่ายนึงไปแจ้งความภายหลังคุณอาจจะกลายเป็นผู้ที่หลบหนีได้ จะทำให้เป้นฝ่ายผิดทุกกรณี

6.หาพยาน
          ซึ่งพยานนั้นสามารถหาได้จากบริเวณดดยรอบที่เกิดเหตุ หากเขายินยอมเป็นพยานก็ควร ขอ ชื่อ-ที่อยู่ไว้เพื่อทำการติดต่อ
7.ไปโรงพยาบาล
          หากสงสัยว่าเกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจร่างกาย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายนั้นยากขึ้น
8.ต้องรีบแจ้งความ
          เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องรีบแจ้งความทันที เพราะบริษัทประกันภัยจะไม่มีการับใบแจ้งความย้อนหลัง
9.ตกลงเรื่องค่าเสียหายให้ดี
          เมื่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จะแนะนำคุณในเรื่องของค่าเสียหายว่าจะให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ชดใช้หรือจะรับผิดชอบเองเพราะในบางกรณีนั้น ที่ให้บริษัทประกันภัยเป้นผู้ชดใช้อาจจะสงผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชดใช้เองจะทำให้เสียเงินน้อยกว่า ค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น
10.อย่ารีบรับข้อเสนอ
          เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ยอมรับผิดอย่าพึ่งรีบรับขอสนอให้ทำการยอมความ เพราะถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จะทำให้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ยาก
ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กหรือใหญ่ควรแจ้งตำรวจทุกครั้ง

ที่มา : BoxzaRacing.com
เรียบเรียง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ตร.ดัดหลัง โดนใบสั่งจราจรแล้วนิ่ง เจอหมายจับ! เผย แจกเป็นล้านใบ มาจ่ายแค่4แสน

    กองบัญชาการตำรวจนครบาล เตรียมแก้ปัญหา ผู้ที่ได้รับใบสั่งจราจรและไม่ยอมมาเสียค่าปรับ โดยการออกเป็นหมายเรียก หากยังไม่มาอีกก็จะออกเป็นหมายจับ
การประชุมงานจราจรของกองบัญชาการตำรวจนครบาลวานนี้ ที่มี พลตำรวจตรีอดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธาน ที่ประชุมมีการเปิดเผยปัญหาการจราจรว่า ขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก ไม่ให้ความสำคัญกับ ใบสั่งที่ออกโดยเจ้าพนักงานและปัจจุบันมีจำนวนใบสั่งที่คงค้างแต่ละสน. เป็นจำนวนมากสาเหตุจากประชาชนเพิกเฉยไม่เข้ารายงานตัวเพื่อเสียค่าปรับซึ่งจากสถิติต่อปีการออกใบสั่งแต่ละปีไม่ต่ำกว่า1 ล้านฉบับ แต่เมื่อมาดูผลการเข้ารายงานตัวเพื่อเสียค่าปรับของประชาชนมีเพียง 40% หรือราว 400,000 ใบเท่านั้น และมีท่าทีจะลดน้อยลง จากปัญหาดังกล่าว บก.จร.เห็นว่า จะต้องเพิ่มความเด็ดขาดโดยอาศัยอำนาจเจ้าพนักงานในการออกใบสั่งแล้วไม่มีการมาชำระค่าปรับเจ้าพนักงานมีอำนาจที่จะออกหมายเรียกและถ้าหากขัดขืนไม่มาตามหมายเรียกอีกก็จะสามารถแจ้งข้อหาขัดหมายเรียกเจ้าพนักงานและสามารถออกหมายจับได้ในที่สุด
ส่วนกรณีผู้กระทำผิดถูกยึดใบขับขี่ และไม่มารายงานตัวทำให้ขณะนี้มีใบขับขี่ค้างอยู่ในแต่ละ สน. เป็นจำนวนมากซึ่งมติในที่ประชุมได้มีความเห็นให้ สน.รวบรวมจำนวนใบขับขี่ส่งให้กรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ทำการพิจารณาผู้ที่มาขอทำใบอนุญาตขับขี่หรือที่มาแจ้งหายหากมีการตรวจสอบพบว่า เป็นผู้ที่กระทำความผิดไม่เสียค่าปรับก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาแจ้งความเท็จต่อไป อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาจะกระทำการได้นั้นก็ต่อเมื่อ สตช. อนุมัติแล้วเท่านั้นซึ่งคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้เร็ว ๆ นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชนออนไลน์

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เบรคแตกระหว่างขับรถ ทำอะไรได้บ้างให้ปลอดภัย


      อีกเรื่องหนึ่งที่มักได้ยินว่าเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่เนื่องมาจากสภาพรถ คือ เรื่องเบรคแตก
เบรคแตก เป็นคำบอกเล่าที่มักจะใช้คำนี้แทนเหตุการณ์ขณะขับรถ คือ  “เบรคไม่อยู่ระหว่างรถวิ่ง”
     แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “มีสติ”  แต่การมีแต่สติก็คงไม่ช่วยให้สามารถรอดชีวิตอย่างปลอดภัยได้หากไม่มีความเข้าใจวิธีจัดการปัญหาที่กำลังเกิดเฉพาะหน้า
จะทำอะไรได้บ้าง ก็นำมาบอกกันไว้เท่าที่มีคนบอกมาให้รู้  ใครมีอะไรเติมเต็มได้อีก มาช่วยกันนะคะ

สิ่งที่ต้องทำเพื่อช่วยตัวเอง ไปพร้อมกับการดำรงสติ มีดังนี้ค่ะ
1.  เปิดไฟ บีบแตรทันทีเมื่อรู้ว่าเบรกแตก - เพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับรถสวนทางและผู้ใช้ถนนร่วมทางคนอื่นๆได้ระมัดระวังด้วย

2.  ถอนคันเร่ง - เมื่อคันเร่งถูกผ่อนจนสุด ความเร็วที่รถกำลังวิ่งจะค่อยๆชะลอช้าลง

3.จับพวงมาลัยด้วย ๒ มือให้มั่น ไม่หมุนพวงมาลัยป่ายไปมา - การหมุนพวงมาลัยป่ายไปมา ทำให้รถหมุนได้ เพราะแรงเสียดทานของล้อกับถนน

4.  ผ่อนเกียร์ลงให้เป็นเกียร์ต่ำ - การผ่อนเกียร์ต่ำช่วยชะลอความเร็วของรถให้ช้าลง

5.  ปรับเกียร์ต่ำลงเป็นระยะๆ ตามความเร็วรถ - การปรับเกียร์ลงต่ำสุดในขณะที่รถกำลังวิ่งเร็วมากๆ ทำให้รถกระชากเสียหลักได้

6. ย้ำเบรกแรงๆบ่อยๆ - ตรงนี้เขาว่าทำเพื่อทำให้เบรกมีกำลังดีขึ้น

7.  ห้ามดึงเบรกมือขึ้นพรวดทันทีเพื่อช่วยเบรกรถ - เบรกมือหยุด ๒ ล้อหลัง การดึงเบรกมือพรวดขึ้นทันทีทำให้  ๒ ล้อหลังหยุดในขณะที่ ๒ ล้อหน้ายังหมุน จะทำให้รถหมุนไปตามทิศของพวงมาลัยและควบคุมไม่ได้

8.  จับเบรกมือ เกร็งข้อมือให้แน่น มือกดปุ่มล็อกไว้ตลอดเวลา - ตรงนี้ให้ทำพร้อมๆไปกับการย้ำเบรก เพื่อเตรียมพร้อมการใช้เบรกมือ

9.   ยกเบรกมือขึ้น-ลงถี่ๆ ไปพร้อมๆกับย้ำเบรกแรงๆบ่อยๆ - การยกถี่ๆเป็นการป้องกันไม่ให้เบรกมือสึกหรออย่างรุนแรง จนเสียหายไปด้วย ๒ แรงเบรกจะช่วยกันชะลอรถให้ช้าลงๆ

10.  ให้สัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือเมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้ว - คนที่ตามหลังจะได้รับรู้ว่ารถข้างหน้ากำลังขอทางเพื่อจอด

11.  ปลดเกียร์ให้เป็นเกียร์ต่ำ - การลดเกียร์เป็นเกียร์ต่ำช่วยลดความเร็วลงมาที่ระดับควบคุมได้เร็วขึ้น

12.  ถ้ารถยังวิ่งต่อไม่หยุด ตัดสินใจไว้เลยว่าจะไม่หลบ แต่ขอเลือกชนเอง - การตัดสินใจไว้ก่อน ทำให้ตัดสินใจได้เร็ว คิดไว้ก่อนก็เลือกการบาดเจ็บ / ความเสียหายที่จะเกิดไม่รุนแรง

13.  สิ่งที่อาจชนไม่พ้นของเหล่านี้  : ท้ายรถคันหน้า ต้นไม้ ตึก ฟุตบาท คน มอร์เตอร์ไซด์ แผงกั้นถนน เสาไฟฟ้า เสากิโลเมตร ลงคลอง ลงข้างทาง เกาะกลางถนน สัตว์ที่อยู่บนถนนหรือริมนาข้างทาง หิน กองดิน กองทราย ลงเหว - การตัดสินใจไว้ก่อนทำให้เมื่อเดินทางไปถึงแต่ละแห่ง สติเกิด
เส้นทางที่รถวิ่งจะผ่านเขตเมือง เขตชนบท ริมน้ำ บนสะพาน สวน ป่าไม้ ภูเขาก็เจออะไรที่แตกต่าง

     สาเหตุที่รถเบรคไม่อยู่ เกิดจากน้ำมันเบรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ในการถ่ายทอดกำลังให้กับระบบเบรก
วิธีป้องกันเบรกแตกที่ดีที่สุด คือ การหมั่นตรวจเช็คน้ำมันเบรค และ เลือกน้ำมันเบรกที่มีจุดเดือดเหมาะสมกับความเร็็วสูงสุดขณะรถวิ่ง และน้ำหนักรถ ซึ่งจะทำอย่างหลังนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจ รับรู้ จดจำพฤติกรรมตัวเองของผู้ขับและรู้ว่าเมื่อไรจะใช้ประโยชน์จากรถบรรทุกของประเภทใดบ้าง

     น้ำมันเบรกทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังในขณะที่ผู้ขับเหยียบแป้นเบรก โดยแรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลงหรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ
ที่น้ำมันเบรกต้องมีจุดเดือดที่เหมาะสมกับความเร็วสูงของรถขณะขับ เพราะเวลาเหยียบเบรกที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนักมากๆ อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยกลายเป็นไอไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ รถก็จะเกิดอาการเบรกไม่อยู่

     พอไปเกี่ยวกับความร้อน ระยะทางวิ่งที่จะใช้ความเร็วสูงก็สำคัญ เพราะวิ่งเร็ว ทางไกล ความร้อนขึ้น ก็มีผลต่อจุดเดือดของน้ำมันเบรกไปด้วย



ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ตร.-คมนาคมจัดหนัก! ชงเพิ่มโทษขับรถไร้ใบขับขี่ ปรับโหด1หมื่น-คุก3เดือน




คมนาคม-ตำรวจ เห็นด้วยเพิ่มโทษไม่พกใบขับขี่ จากปรับไม่เกิน 1 พัน คุกไม่เกิน 1 เดือนเป็นคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 5 พัน-1 หมื่น  เผยค่าปรับของไทยต่ำมากทำให้คนไม่กลัว

 นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่งระยะเร่งด่วน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) เสนอให้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการจราจรทางบก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่และควบคุมวินัยการจราจรบนท้องถนนให้เข้มข้นมากขึ้น
 
 บชน. เสนอเพิ่มโทษผู้ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต เป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากปัจจุบันที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
 “เบื้องต้นที่ประชุมเห็นด้วยแต่เสนอว่าควรมีการเพิ่มโทษให้มากกว่าที่ บชน.เสนอ เพราะต้องการให้ผู้ขับขี่เกรงกลัวต่อกฎหมายมากขึ้น โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับบทกำหนดโทษที่เหมาะสมและนำกลับมาเสนอที่ประชุมอนุฯ ภายใน 1 เดือน หรือภายในเดือนก.ย.นี้”
 
 ปัจจุบันโทษปรับไม่มีใบขับขี่ของไทยน้อยมาก ทำให้คนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขับรถแบบไม่สนใจวินัยจราจร ทำให้เกิดปัญหารถติดขัด หากจะมีการเพิ่มโทษเราก็เห็นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาในต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องใบขับขี่มาก โดยในสิงคโปร์หากไม่มีใบขับขี่ถูกปรับหนักมากถึง 1.2 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หากผิดครั้งที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 2.5 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี ขณะที่ญี่ปุ่นปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 ปี
 
 นางสร้อยทิพย์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สนข. ยังเสนอให้มีการทบทวนช่วงเวลาและวันในการห้ามจอดรถยนต์บนถนนสายหลัก 7 เส้นทาง ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อบรรเทาปัญหาในพื้นที่ รวมทั้งเสนอให้มีกรุงเทพมมหานคร มีการจัดเก็บค่าที่จอดรถในบริเวณที่อนุญาตให้จอดมากขึ้น เพื่อเป็นรายได้ให้กับท้องถิ่น
 
 มอบหมายให้ สนข., สำนักการจราจรและขนส่ง กทม.(สจส.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก 88 สน.ที่เกี่ยวข้องไปทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดพื้นที่จอดรถและอัตราการจัดเก็บค่าจอดรถที่เหมาะสม และแก้ปัญหาการเปิด-ปิดไม้กั้นทางรถไฟให้สอดคล้องกับสัญญาณไฟจราจรมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอีกทางหนึ่ง

ข้อมูล : khaosod.co.th
เรียบเรียง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


5 เทคนิคขับรถเมื่อคุณตั้งครรภ์

   

ต้องเรียกว่าเป็นวัฏจักรที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้หญิงทุกคน ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมีงานแต่งงาน และตามมาด้วยการมีทายาท และหลายคนที่เป็นนักขับตัวยนั้น ก็มักจะเกร็งยามที่เรามีน้อง อาจจะไม่เหมาะแก่การขับรถ แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้อาจจะไม่ได้น่ากลัวกันอย่างที่เราคิดก็ได้
1.รู้ความเสี่ยง ไม่ว่าคุณอ่านต่อไปแล้วจะทำยังไง ในการขับรถ จำไว้ว่าการขับรถมีความเสี่ยงและเมื่อคุณมีครรภ์ความเสี่ยงก็จะตกอยู่กับลูกของคุณด้วย มีวิจัยใมนสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่า คุณมีโอกาสแท้งลูก 3 เท่าและ เลือดตกในถึง 2 เท่ หากเกิดอุบัติเหตุในขณะขับขี่และแม้จะชนไม่แรง ก็ยังมีโอกาสแท้งลูก 5% แต่จากการ
ศึกษาล่าสุด พบว่า ในจำนวนดังกล่านั้น มีกว่า 68% ที่ไม่ยอมคาดเข็มขัดในขณะขับขี่ และปรับท่านั่งไม่ถูกต้อง
2.ท่านั่งที่เปลี่ยนไป คุณต้องเข้าว่าไม่ได้ขับคนเดียว เมื่อคุณคิดและมุ่งมั่นแน่แล้วว่าจะขับรถขณะมีครรภ์ จำไว้ว่าทุกสิ่งที่ต้องปฏิบัตินั้นให้ยึดหลักว่า มีอีกคนอยู่กับเรา ที่คงต้องเริ่มตั้งแต่ท่านั่งให้ปรับถอยหลังจากเดิมห่างพวงมาลัยมาขึ้นราวๆ 10 เซนติเมตร ห้ามนั่งใกล้พวงมาลัย และปรับเบาะเอนเล็กน้อย รวมถึงปรับพวงมาลัยให้สูงขึ้น เพื่อไม่ให้แอร์แบกนั้นกระแทกเข้าท้อง เมื่อเกิดการทำงาน แต่ทั้งหมดนั้นคุรต้องให้สามารถควบคุมคันเร่งได้เหมือนเดิม
3.คาดเข็มขัดนิรภัยอย่างถูกวิธี จงจำไว้ว่า แม้จะท้อง คุณก็ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย อย่าเอาความรู้สึกว่ามันจะอึดอัดคับพุงมาเป็นข้ออ้า งเพราะ เข็มขัดนิรภัยนี้ช่วยคุณและลูกในการไม่กระแทกกับพวงมาลัย ยามเกิดอุบัติเหตุ จริงอยู่เมื่อคุณท้องใหญ่ขึ้นจากเดิม คงจะยากที่จะคาดเข็มขัดนิรภัย แต่วิธีคาดนั้นก็ไม่ยาก ให้เว้นสามเหลี่ยมนั้นระหว่างช่วงท้อง โดยสายบนนั้นควรอยู่ช่วงราวนมและคอ ส่วนสายล่างให้ปรับไม่ให้ตึงมากและวางไว้ใต้พุง
4.ลูกไม้แก้ปวดช่วยได้ หลายคนที่ขับรถขณะตั้งครรภ์คงจะต้องเคยเจออาการปวดหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมายนัก การที่คุณมีน้องอยู่ที่หน้าท้อง แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าหาลูกไม้แก้ปวดมาติดตั้งไว้ที่เบาะ ซึ่งมันคืออุปกรณ์นวดหลังดีๆ และไม่มีปัญหาใดๆต่อเด็กในครรภ์
5.อย่าใช้ความเร็ว เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จำไว้ว่าคุณต้องขับรถไม่เร็วเกินไปส่วนหนึ่งคือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือลดอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ความเร็วไม่มากนัก ทำให้คุณลดความเสี่ยงการแท้งลูก แต่ยังสามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย
ทั้ง 5 ข้อนี้น่าจะช่วยให้คุณสามรถขับรถช่วยตัวเองได้ในเรื่องการเดินทางยามคุณมีน้อง แต่จากคำแนะนำของแพทย์เรื่องสูตินารีเวชในสหรัฐก็เปิดเผยอีกว่า เมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 7 หรือ 12 สัปดาห์ก่อนคลอดนั้น ควรงดกิจกรรมขับรถเพื่อความปลอดภัย
ข้อมูลโดย sanook.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง

เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง
เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง การซื้อรถยนต์มือสองสามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตนเองอย่างง่ายๆดังนี้
2. ภายใน
2.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ภายในรถว่ายังใช้งานได้ปรกติ
2.2 สังเกตอุปกรณ์ต่างๆว่า ลักษณะที่เป็นเหมาะสมกับการใช้งานหรือเปล่าเช่น ถ้าคันเร่งหรือคลัทช์สึก แต่เลขไมล์น้อย อย่างผิดสังเกต อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการกลับเลขไมล์
2.3 เช็คห้องโดยสารภายในโดยดูตามตะเข็บว่าเป็นแนวเรียบหรือไม่
2.4 บริเวณห้องเก็บของท้ายรถตรวจสอบดูตามตะเข็บต้องมีความสมบูรณ์ แนวตะเข็บต้องเรียบเนียน
2.5 ตรวจเช็คยางอะไหล่ และเครื่องมือต่างๆว่ามีครบหรือไม่ทั้งแม่แรง ประแจต่างๆ
2.6 ระบบแอร์ไม่ควรมีเสียงดังของพัดลมและคอมเพรสเซอร์
3. เครื่องยนต์
3.1 ตัวเครื่องยังเป็นเครื่องเดิมๆหรือไม่ ไม่ควรมีการดัดแปลงเครื่องยนต์
3.2 เมื่อสตาร์ทรถ เครื่องต้องเงียบไม่มีเสียงกุกกัก
3.3 เปิดดูเมื่อสตาร์ทรถแล้วมีไอของน้ำมันเครื่องหรือไม่ ถ้ามีเครื่องอาจหลวมแล้ว
3.4 ต้องไม่มีรอยรั่วของน้ำและน้ำมันในจุดต่างๆ เช่น หม้อน้ำ น้ำมันหล่อลื่นที่จุดต่างๆ
3.5 เช็คแบตเตอรี่ ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วทำงานช้าผิดปกติ หมายถึงแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม
4. ทดลองขับ
4.1 ระดับความร้อนจากมาตรวัดไม่ควรร้อนจนเกินไป
4.2 เมื่อใช้ความเร็วต้องไม่มีเสียงลมเข้า
4.3 เมื่อใช้ความเร็วสูงจะต้องไม่มีการโคลงหรือส่าย
4.4 ทดสอบระบบเบรกที่ความเร็วหลายๆระดับ
4.5 ขณะขับขี่เครื่องยนต์ไม่ควรมีเสียงดังจนเกินปรกติ

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ไฟตัดหมอก แฟชั่น...อันตราย!

ไฟตัดหมอก แฟชั่น...อันตราย!
เสียงบ่นจากผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนนมีมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับแสงไฟสว่างจ้าจนบางครั้งเกินความจำเป็น ที่สาดส่องมาจากรถที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
ไฟตัดหมอก อุปกรณ์แต่งรถที่กำลังเป็นแฟชั่นระบาดไปทั่วทั้งรถเก๋ง และรถปิกอัพ คือ ที่มาของแสงสว่างจ้าบนท้องถนนยามค่ำคืน
การเปิดไฟตัดหมอกอาจดูเท่ในสายตาเจ้าของรถ แต่สำหรับผู้ขับขี่ที่โดนแสงไฟตัดหมอกที่เปิดในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม สาดใส่แล้วละก็กลับกลายเป็นความทุกข์ที่ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็น และต้องจำทนกับสภาพนี้โดยทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขับหนี หรือปล่อยให้แซงหน้าไป
จากการใช้งานในช่วงเวลาที่ผิดนี้เอง อาจทำให้คุณประโยชน์ที่มีมหาศาลของไฟตัดหมอก กลายเป็นแค่สินค้าแฟชั่น ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและอุบัติเหตุแก่รถยนต์คันอื่นบนท้องถนนได้
ความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น  จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น  ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป  เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน  แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก
“ไฟตัดหมอก” ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง อากาศหนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี  มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา
ไฟตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง  ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและส่องได้ไกลกว่า โดยเฉพาะในยามที่ฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด
 หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัด มุมที่เอียงลงต่ำทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่  จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อย หรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10 - 15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสาร เพราะสามารถทะลุทะลวงได้มาก และสะท้อนกลับมาในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30 - 80 เมตร
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆ ในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปอีกมุมหนึ่ง ซึ่งบางครั้งแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำ แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฎบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี  ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ เพราะ ไฟตัดหมอกเป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอกจะไปแยงและรบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมาทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ
การใช้ไฟตัดหมอกให้ถูกวิธี จึงมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องจากทั้งทางภาครัฐ และเอกชน โดยกรณีที่จำเป็นต้องเปิดไฟตัดหมอก ประกอบด้วย
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน   เพราะที่สูงๆ นั้น หมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ควรปิดไฟตัดหมอกทันทีที่มีรถสวนมาในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอก คงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญาณจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม
การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีจะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเสริมทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้ดีขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ  ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย
 "ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี  ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ"
ข้อมูลโดย sanook.com
เรียบเรียง kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ภาษีขึ้น ราคารถเพิ่ม รถใหญ่เศร้า รถเล็กยิ้ม


      เอาละซิพี่น้องชาวไทย ใครอยากซื้อรถยนต์รีบตัดสินใจ ภายในปีนี้นะครับ เพราะต้นปีหน้าเริ่ม 1 ม.ค. 2559 จะเริ่มใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม รถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก
     รายละเอียดอัตราแต่ละประเภท เมื่อเทียบกับการคิดแบบเก่าจะแตกต่างกันอย่างไร ตามไปดูกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 8 ประเภท


     รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี เช่นรถ พีพีวี จ่ายภาษีเพิ่มรถกระบะดัดแปลง หรือพีพีวี ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,000 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20 % อัตราใหม่จะเป็น
     – ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
     – ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
     – ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 40% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)
     ซึ่งจากข้อมูลรถยนต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร นั้นหมายความว่าในปี 2559 รถพีพีวีจะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10 % แทบทุกรุ่น ราคาขึ้นแน่นอน


    รถยนต์นั่งประเภท E 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี หรือเอาเข้าใจง่ายๆคือ รถยนต์คอมแพคท์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780-2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น โตโยต้า อัลทิส (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), ฮอนด้า ซีวิค, เชฟโรเลต ครูซ (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), มาสด้า 3 อัตราเดิมเสีย 22 %
     ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตรจะเสียเพิ่มเป็น 25 % รุ่นที่ปล่อย 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25 % ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30 % หรือ 35 % ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย


     รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลายรุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น โตโยต้า คัมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด, ฮอนด้า ซีอาร์วี, นิสสัน เทียน่า, มาสด้า ซีเอกซ์-5 มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25 % และ 22 % ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ปล่อยไอเสียในพิกัด 151-200 กรัม/กิโลเมตรอยู่ ดังนั้น จะเสียภาษี 35 % หรือ 30 % ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25% (เดิมจัดเก็บภาษี 25% )
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)



รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี (เดิม จัดเก็บภาษี 10%) ง่ายคือ รถยนต์ ไฮบริด นั้นเอง รถยนต์ไฮบริดทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 10 % เท่ากัน แต่ภาษีใหม่จะต้องเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้นถึงจะเสียอัตราเดิมที่ 10 % ถ้ามากกว่านั้น ภาษีจะเพิ่มเป็น 20 % 
     แต่รถยนต์ไฮบริดหลายรุ่นก็ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตรอยู่แล้ว เช่น โตโยต้า พรีอุส, ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด, เมอร์เซเดส-เบนซ์บลู เทคไฮบริด, แต่ก็ยังมีบางรุ่น ที่ปล่อยไอเสียมากกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส 300 บลูเทค ไฮบริด และบีเอ็มดับเบิ้ลยู แอคทีฟไฮบริดทั้งหมด
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 10%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 20%
– ปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%


      รถยนต์ Eco Car (เดิมจัด เก็บภาษี 17%) อีโคคาร์ เฟส 2 ภาษีถูกลง เพราะโครงสร้างภาษีใหม่ สนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานอย่างชัดเจน และอีโคคาร์ เฟส 2 เป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร โดยจะเสียภาษีเพียง 14 % เท่านั้น แต่ถ้าเกินจะเสีย 17 % เท่ากับ อีโคคาร์ เฟส 1
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และใช้น้ำมัน E85 ได้ จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 14%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 17%
     สบายเลยครับงานนี้สำหรับท่านที่ต้องการซื้ออีโคคาร์ รอปีหน้าจะเหมาะกว่าราคาน่าจะถูกลงกว่าปัจจุบันแน่นอน ไม่มีเพิ่มสบายเนียนๆไปครับ


     รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
     – ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 3%
     – ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
     รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
     – ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
     – ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 7%
     รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 12%)
     – ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 12%
     – ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 15%
     รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 20%)
     – ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
     – ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%
     รถกระบะปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ต้องจ่ายเพิ่ม กระบะที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร จะเสียภาษี 3 % สำหรับรุ่นไม่มีแคบ 5 % สำหรับรุ่นมีแคบ และ 12 % สำหรับรุ่น 4 ประตู แต่ถ้าปล่อยเกินจากนี้จะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 5 % 7% และ 15 % ตามลำดับ  ส่วนใหญ่มีค่าไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลให้โดนขึ้นภาษีเกือบทุกรุ่น  

เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.kcycar.com


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook