ไม่มีใบขับขี่ ประกันรถยนต์จะจ่ายหรือไม่ ?



ไม่มีใบขับขี่ เกิดอุบัติเหตุ จะชดเชยคู่กรณีหรือไม่ ?

ถ้าคุณเป็นคนขับโดยที่ไม่มีใบขับขี่ หากเกิดเหตุอุบัติเหตุและมีคู่กรณี ในเรื่องความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอกนี้ บริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยให้ทั้งตัวร่างกายบุคคลและทรัพย์สินเต็มจำนวน และไม่สามารถเรียกเงินจากผู้เอาประกันได้ แต่ความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกนั้นก็มีข้อยกเว้นอยู่ ดังต่อไปนี้
  1. ไม่คุ้มครองทรัพย์สินของคุณ หรือครอบครัวของคุณหากเกิดอุบัติเหตุเหตุขึ้น เช่น คุณขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนประตูบ้านของคุณแม่คุณ แบบนี้บริษัทประกันภัยจะไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินภายนอก ซึ่งในกรณีนี้ก็คือประตูบ้านของคุณแม่ของคุณ เป็นต้น
  2. ไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินหรือสัมภาระที่อยู่ในรถยนต์ ทั้งในรถยนต์ของคุณและคู่กรณี
  3. ไม่คุ้มครอง เครื่องชั่ง สะพานรถ สะพานรถไฟ ถนน ทางวิ่ง สนาม หรือสิ่งที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือจากน้ำหนักรถยนต์ หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำถนนเสียหาย กรณีนี้ประกันไม่รับผิดชอบความเสียหายต่อถนน เป็นต้น

แล้วรถยนต์ของคุณล่ะ จะคุ้มครองไหม ?

คำถามข้อนี้ ต้องแบ่งออกเป็นสองกรณีก็คือ ถ้าคุณขับรถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ หากว่าคุณเป็น “ฝ่ายถูก” ประกันรถยนต์จะคุ้มครองรถยนต์ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็น “ฝ่ายผิด” บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครอง

แต่ถ้าเป็นกรมธรรม์ที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ล่ะ ?

ต่อจากกรณีที่แล้วถ้าหากคุณเป็น “ฝ่ายผิด” แต่ในกรมธรรม์ประกันรถยนต์นั้น ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นชื่อคุณ บริษัทประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของคุณ เนื่องจากกรมธรรม์แบบระบุผู้ขับขี่นั้น จะถือว่าบริษัทประกันพิจารณาความสามารถ และทักษะในการขับขี่ของผู้ขับขี่ ที่ระบุชื่อเอาไว้ดีแล้วในขณะที่รับทำประกัน แต่โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะขอเอกสารใบขับขี่ เพื่อประกอบในการออกกรมธรรม์อยู่แล้ว

แล้วถ้าเหตุที่เกิดคือรถยนต์สูญหายหรือน้ำท่วมล่ะ ?

ในกรณีนี้บริษัทประกันรถยนต์ จะต้องให้ความคุ้มครองแน่นอน ไม่ว่าผู้ขับขี่จะมีใบขับขี่หรือไม่? เพราะการที่รถยนต์สูญหายหรือเกิดน้ำท่วมนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทักษะความสามารถในการขับขี่ของผู้ขับขี่ เพราะการขับขี่ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงภัยกับกรณีเหล่านี้

กรณีอื่น ๆ ที่ประกันภัยรถยนต์ไม่คุ้มครอง

นอกจากการขับขี่รถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่ อาจจะเป็นสาเหตุที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองอีก แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 จะได้ชื่อว่าเป็นประกันที่เคลมได้ทุกอย่าง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดแบบกว้าง ๆ เท่านั้น ตามความเป็นจริงไม่สามารถที่จะเคลมได้ทุกกรณี ซึ่งข้อยกเว้นมีดังนี้
  1. ใช้ใบขับขี่ผิดประเภท เช่น มีใบขับขี่ของรถจกรยานยนต์ แต่มาใช้ในการขับรถยนต์ ถ้าหากว่าเกิดเหตุอาจจะไม่ได้รับการคุ้มครอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อาจจะเข้าข่ายผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ดังข้อมูลข้างต้น
  2. เมาแล้วขับ โดยที่ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่เลือดตั้งแต่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ขึ้นไป ในขณะที่ขับขี่
  3. นำรถยนต์ไปใช้นอกเขตความคุ้มครอง ซึ่งหมายถึงนอกประเทศไทยนั่นเอง
  4. นำรถยนต์คันเอาประกัน ไปใช้ในการลากจูงหรือผลักดัน ซึ่งหากเกิดเหตุเสียหายกับรถยนต์ จะถือว่าเป็นความประมาทของเจ้าของรถยนต์เอง
  5. ใช้รถยนต์ในการไปแข่งขันความเร็ว
  6. ใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมาย เช่น นำรถยนต์ไปใช้ปล้น หรือขนยาเสพติด เป็นต้น
โดยตัวอย่างข้างต้นนั่น เป็นเพียงบางส่วนของข้อยกเว้นในการรับประกันรถยนต์ โดยบางกรณีบริษัทประกันภัยอาจจะรับผิดชอบบางส่วน บางกรณีอาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด ฉะนั้น ก่อนที่คุณจะทำประกันรถยนต์ ควรที่จะศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้ละเอียดถี่ถ้วน เผื่อในกรณีที่เกิดเหตุขึ้นแล้วบริษัทประกันภัยไม่คุ้มครอง

5 สัญญาณบอกเหตุ แบตเตอรี่ ใกล้หมดสภาพ



เชื่อเลยว่าหนึ่งในปัญหากวนใจที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับรถมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือปัญหา แบตเตอรี่รถยนต์ ไฟหมด หรือเสื่อมสภาพจนทำให้คุณต้องปวดหัวได้แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นแน่ถ้าหากเราคอยใส่ใจดูแลรักษาและหมั่นสังเกตุอาการรถคุณอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันนี้เรามี 5 สัญญาณบอกเหตุ ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้เสื่อมสภาพนั้นเป็นอย่างไร
แบตเตอรี่รถยนต์มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่างด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น
แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพนั้นคือ
1. เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน
2. ไดชาร์จทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยกว่าปกติ และไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้เลย
วิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
1. เริ่มมีอาการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก
โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นานหลายวัน เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์สตาร์ทจะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือรุนแรงถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด นั่นแสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งในกรณีนี้อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นที่แบตเตอรี่นะครับ ให้ลองพ่วงชาร์จเพื่อทำการสตาร์ทดูก่อน ถ้าเครื่องติดแล้วลองขับใช้งานปกติ เมื่อดับเครื่องยนต์ไม่นานนักแล้วกลับมาสตาร์ทติด แสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา แต่ถ้ายิ่งจอดนานหรือจอดข้ามคืนแล้วสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดคราวนี้แน่นอนว่าแบตเตอรี่รถคุณเริ่มเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟไว้ได้
2. ไฟหน้ารถเริ่มสว่างน้อยลง
เนื่องจากประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ตรงนี้สำหรับคนที่ขับรถกลางคืนบ่อยๆ อาจจะสังเกตุได้ง่ายกว่า สำหรับใครที่ไม่ชอบออกจากบ้านค่ำๆ มืดๆ เวลาขับเข้าลานจอดให้ลองเปิดไฟหน้ารถดูน่าจะพอให้สังเกตได้
3. กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง
เป็นอีกหนึ่งอาการที่มักเกิดขึ้นจากกำลังไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ จากปกติที่เคยกดทีเดียวขึ้น/ลงสุดอย่างรวดเร็วกลับค่อยๆ ขึ้น/ลงช้าๆ พร้อมเสียงมอเตอร์กระจกไฟฟ้าที่หมุนแบบหนืดๆ เหมือนไม่มีกำลัง
4. ระบบไฟในรถเริ่มทำงานผิดปกติ
ตรงนี้ให้สังเกตุจากไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ไฟหน้าจอเครื่องเสียงและไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ซึ่งเริ่มสว่างน้อยลง บางทีก็อาจติดๆ ดับๆ รวมถึงให้ลองบีบแตรดูถ้าเสียงเบาผิดปกติ นั่นแสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ของคุณไม่เพียงพอเช่นกัน
5. อายุการใช้งานของแบตเตอรี่
ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1.5 – 2 ปี (สำหรับรถที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม) เราสามารถดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ทางร้านแบตเตอรี่จะทำการระบุวันที่เราเริ่มใช้งานแบตเตอรี่ครั้งแรก ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย รถที่จอดทิ้งไว้ทีละหลายๆ วันแบตเตอรี่ยิ่งอายุสั้นกว่ารถที่ใช้งานปกติ
ดังนั้นถ้าคุณพบว่ารถคุณเริ่มมีอาการต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงอายุอานามของแบตเตอรี่ก็ใกล้ครบวาระแล้ว รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ก่อนที่มันจะสร้างความลำบากให้กับคุณได้แบบไม่มีการบอกล่วงหน้า
ที่มา : https://www.roojai.com/article/your-car/expired-battery/
เรียบเรียง : www.kcycar.com