ล้างห้องเครื่องให้ถูกวิธี

       
     
       แม้ว่า“การล้างห้องเครื่องรถยนต์”จะไม่จำเป็นเท่าใดนัก เพราะถูกออกแบบมาให้ทำงานได้แม้จะมีสิ่งสกปรกเข้ามาเกาะ แต่หลายคนก็อดรนทนเห็นความสกปรกในห้องเครื่องไม่ได้
ยาน ยนต์ “Kcycar” มีข้อแนะนำการทำความสะอาดห้องเครื่องที่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนหลากหลาย โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า ไม่ชอบน้ำ ทำให้การล้างห้องเครื่องเกิดปัญหาตามมา โดยเฉพาะรถเก่า

หลักสำคัญใน การล้างห้องเครื่องคือพยายามใช้น้ำให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้มีปัญหากับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งสนิม จึงใช้น้ำยาแบบโฟมทำความสะอาดห้องเครื่อง มีให้เลือกหลายยี่ห้อ
หลัง จากได้น้ำยาทำความสะอาดมาแล้ว เตรียมอุปกรณ์ตัวประกอบมาให้พร้อม ได้แก่ โบลว์เออร์สำหรับเป่าไล่น้ำหลังล้างเสร็จ ฟองน้ำแบบไม่ต้องหนามาก แปรงสีฟันขนนุ่ม ถุงมือยาง ถุงพลาสติกใบเล็ก และผ้าเทปอีกม้วน

ถุง พลาสติกใบเล็ก และผ้าเทปเอาไว้หุ้มปิดอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าให้ มิดชิด เช่น เซ็นเซอร์ ปลั๊กสายไฟ จานจ่าย และสายหัวเทียน
ทิ้ง เครื่องยนต์ให้เย็นสนิทก่อน เพื่อไม่ให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่แล้วมาเจอของเย็น ๆ จนบิดตัวหรือร้าว และไม่เป็นอันตรายกับมือ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เพื่อรอให้เครื่องเย็นตัวตามธรรมชาติ
เตรียมถอดแบตเตอรี่เพราะเป็น แหล่งจ่ายกระแสไฟพร้อมจะชอร์ตได้ตลอดเวลา หากมีน้ำเข้าเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างขั้วบวกและขั้วลบหลังจากนำ แบตเตอรี่ออกแล้ว ให้หุ้มขั้วทั้ง 2 ด้วยถุงพลาสติกป้องกันไม่ให้น้ำขังอยู่ที่ขั้ว

หากต้องการถอดชิ้นส่วน ต่างๆ อาจเลือกถอดกรองอากาศออก เพื่อทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ทั้งตัวหม้อกรองและบริเวณที่ต้องการทำความสะอาด น้ำยาแบบโฟมจะพุ่งตรงเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการได้ทันที รอซัก 5 นาทีเพื่อให้น้ำยาชะล้างเอาคราบสิ่งสกปรกออกไป ถ้ายังไม่พอใจก็เอาฟองน้ำหรือแปรงสีฟันค่อยๆ ขัดถูไปเรื่อยๆ ตามซอกหลืบ จากนั้นก็ค่อยเอาน้ำล้างออก ถ้าก๊อกน้ำอยู่ไกลก็ใส่กระป๋องใบใหญ่ๆ แล้วเอาขวดน้ำตัดครึ่งเทก็ได้ แต่ถ้าก๊อกน้ำอยู่ใกล้ก็ใช้แรงดันต่ำค่อยๆ ล้างออก ห้ามเปิดน้ำแรงเด็ดขาด เพราะมีตัวเซ็นเซอร์และปลั๊กไฟอยู่บริเวณนั้น

เริ่มจากฝาครอบวาล์วกัน ก่อน เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนเห็นได้ชัดเจนเมื่อเปิดกระโปรง จากนั้นไปยังส่วนอื่นๆ ทั้งมุมหน้าซ้าย-ขวา ผนังห้องเครื่อง เสื้อสูบ ซุ้มล้อซ้าย-ขวา ถ้าเป็นบริเวณผนังห้องเครื่อง พอล้างด้วยน้ำแล้วจะดูด่างๆ ไม่ต้องตกใจ พอแห้งแล้วสีจะกลับมาเงาเหมือนเดิม
กรณีเป็นพื้นที่ค่อน ข้างเปลือยโล่ง การทำความสะอาดก็จะง่าย แต่ถ้าเป็นบริเวณยากต่อการเข้าถึง คงจะต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะห้องเครื่องเต็มไปด้วยขอบคม อาจต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะนอกจากชิ้นส่วนที่มองเห็น ตอนเปิดฝากระโปรงแล้ว ต่ำลงไปยังมีคราบสกปรกเกาะอยู่อีกมาก ทั้งผนังห้องเครื่องด้านล่าง เสื้อเกียร์ด้านใน ยางแท่นเครื่อง-เกียร์และซับเฟรม

ล้างเสร็จแล้วถ้า มีโบลว์เออร์ก็นำมาเป่าตามซอก ป้องกันไม่ให้น้ำขังอยู่ตามจุดต่างๆ แต่ถ้าไม่มีก็ให้เอาผ้าคอยซับน้ำทิ้ง หรือจะใช้พวกน้ำมันอเนกประสงค์ไล่ฉีดตามจุดต่างๆ ก็ได้ เพราะน้ำมันเหล่านี้มีคุณสมบัติไล่ความชื้นอยู่แล้ว ตามด้วยการใส่แบตเตอรี่เข้าตามเดิม ส่วนขั้วก็ใส่บวกก่อน แล้วค่อยตามด้วยขั้วลบ นอกจากนี้ยังมีน้ำยาเคลือบเงาสำหรับชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะด้วย เอามาลงเลยก็ดี
หลังจากประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าที่แล้ว ลองสตาร์ตเครื่อง แต่ตอนเครื่องหมุนช่วงแรกๆ อาจมีเสียงบ้างไม่ต้องตกใจ เนื่องจากสายพานหน้าเครื่องโดนความชื้นจนเกิดเสียง พอน้ำเริ่มระเหยแห้งก็เงียบเป็นปกติ ติดเครื่องไว้สักพัก ลองเร่งเครื่องดู เพื่อเช็กดูว่าทุกระบบทำงานเป็นปกติหรือเปล่า เช่น เดินครบสูบ รอบเครื่องไม่สะดุด และพัดลมทำงาน

การล้างห้องเครื่องนอกจากความสะอาดแล้ว ยังช่วยให้ตรวจเช็กสภาพอุปกรณ์ต่างๆ ได้จากที่มองไม่ค่อยเห็นเพราะคราบสกปรกบดบังอยู่


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

วางของกั๊กที่จอดบนถนน‬ โทษปรับสูงสุด 1 หมื่นบาท

car-on-foot

พรบ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง พ.ศ.2535 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในมาตรา 19
“ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งวางหรือกองวัตถุใดๆบนถนนเว้นแต่เป็นการกระทำ ในบริเวณที่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนดด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร”
ถ้าฝ่าฝืนจะโดนโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ตามบทลงโทษในมาตรา 57 ของ พรบ.ฉบับนี้
นอกจากนี้ยังผิดกฏหมาย ป.อาญา มาตรา 385 ในเรื่องการกีดขวางทางสาธารณะซึ่งมีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาทอีกด้วย แต่เรื่องนี้ภาษากฏหมายเรียกว่า “การกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามบทหนักสุด” นั่นคือ โทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตาม พรบ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง พ.ศ.2535 สรุป กั๊กที่จอดบนถนน มีความผิด ปรับไม่เกิน 10,000 บาทครับ สำหรับเรื่องราวในครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรเพื่อนๆ สามารถติดตามกันได้ที่ เว็บนายธันวา กันได้เลยครับมีประโยชน์แน่นอนครับ


ข้อมูลจาก ninethanwa.in.th

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

Toyota VIOS ใหม่ ขุมพลัง Dual VVT-i เร้าใจด้วยชุดเกียร์ 7 สปีด พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน


                Toyota VIOS ยนตรกรรมซับคอมแพคซีดานขวัญใจมหาชน นับว่าเป็นรถขนาดเหมาะมือที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยภาพลักษณ์ที่สวยงาม เรียบง่าย สื่อถึงอารมณ์ความหรูหรา ภายใต้การใช้งานที่คล่องตัวจากเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สมรรถนะที่โดดเด่น ควบคู่กับความทนทาน สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย


                ด้วยความที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนโฉมไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ในเรื่องของขุมพลังนั้น ในครั้งอดีต ทางค่ายยังคงยึดมั่นอยู่กับเครื่องยนต์ในบล็อค 1NZ-FE ที่มาพร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ในฝั่งไอดี จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด ที่แม้จะสามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ในมุมมองของผู้บริโภค กลับต้องการสิ่งแปลกใหม่ที่เหนือกว่า อันเป็นที่มาของเสียงเรียกร้องอย่างหนาหูจากแฟนๆ ซึ่งทาง Toyota เอง ก็มิได้รอช้า โดยล่าสุดได้ปล่อย Toyota VIOS ที่แม้เรื่องภาพลักษณ์อาจจะไม่ได้ดูมีอะไรเปลี่ยนมากมาย แต่ในเรื่องเทคโนโลยีและระบบขับเคลื่อนต่างๆ กลับได้รับการพัฒนาแบบจัดเต็ม ทั้งในเรื่องของขุมพลัง, ระบบขับเคลื่อน หรือแม้แต่เรื่องของระบบความปลอดภัยที่มีการเพิ่มระบบควบคุมการทรงตัวหรือVSC (Vehicle Stability Control) ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งหลังจากที่ทาง BoxzaRacing ได้ทดลองขับมาเป็นที่เรียบร้อยด้วยระยะทางกว่า 350 กม. จึงขอสรุปเป็นข้อๆ สำหรับสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน Toyota VIOS รุ่นใหม่นี้

เครื่องยนต์บล็อกใหม่ในรหัส 2NR-FBE พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i 

                เริ่มกันที่เครื่องยนต์บล็อกใหม่ในรหัส 2NR-FBE ที่มาพร้อมระบบวาล์วแปรฝันทั้งฝั่งไอดีและไอเสียDual VVT-i ที่ส่งให้เครื่องยนต์ตัวนี้ มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องแรงบิดที่มีมาให้ใช้งานในช่วงที่กว้าง โดยมีตัวเลขสูงสุดที่ 140 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที อีกทั้งยังให้แรงม้าที่สูงถึง 108 ตัว ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที ซึ่งแน่นอนว่าจากตัวเลขตรงนี้ อาจทำให้ผู้ใช้หลายๆ ท่านเกิดความสงสัยว่าทำไมแรงม้าที่ได้จึงน้อยกว่าเครื่องยนต์บล็อคเก่า (109 แรงม้า) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว การนำระบบ Dual VVT-i มาใช้ น่าจะให้แรงม้าที่สูงมากขึ้น หากจะให้อธิบายตามความเข้าใจของผู้เขียน คิดว่าทีตัวเลขแรงม้าน้อยลง เป็นเพราะในเรื่องกฎหมายใหม่ที่ค่ามลพิษมีผลต่อภาษีสรรพสามิต จึงทำให้แรงม้าถูกจำกัดไว้เพียง 108 ตัว ซึ่งจะว่าไป ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว ที่สำคัญยังมอบความหลากหลายด้วยการรองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85 เลยทีเดียว

นิ่ง นุ่ม และหนึบกว่าเดิมแบบรู้สึกได้

                ประการที่สองที่ทำให้ Toyota VIOS รุ่นใหม่ มีสมรรถนะที่สูงขึ้นก็คือ ระบบส่งกำลังที่มาในรูปแบบใหม่อย่างชุดเกียร์ CVT 7 สปีด (ยกเลิกการจำหน่ายรุ่นเกียร์ธรรมดาทั้งหมด) พร้อม Sequential Shift เช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่าง Corolla Altis ซึ่งฟีลลิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนจากการผสานการทำงานของเครื่องยนต์ Dual VVT-i และระบบเกียร์ CVT 7 สปีด ก็คือ เรื่องของความสมูทในการใช้งานทั่วๆ ไป จากรุ่นเก่าที่เวลาเหยียบคันเร่งลงไปแล้ว จะรู้สึกว่าพุ่งมากในช่วงที่สัมผัสคันเร่ง จนทำให้รู้สึกเหวอหากไม่เคยชิน ใน Toyota VIOS รุ่นใหม่ กลับไม่พบอาการดังกล่าว โดยความเร็วค่อยๆ ไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวลตามแบบฉบับของเกียร์ CVT หากขับขี่ด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ในช่วงอัตราทดเกียร์สุดท้าย รอบเครื่องยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 รอบ/นาที และที่ความเร็ว 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2,100 รอบ/นาที ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในช่วงการทำงานที่กำลังดีทีเดียว นอกจากจะไม่เป็นการโหมเครื่องมากเกินไปแล้ว ยังช่วงในเรื่องของอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี โดยในทริปนี้ เราใช้ความเร็วที่ประมาณ 110-120 กม./ชม. หรืออาจมีแตะ 140 กม./ชม. บ้างในช่วงเร่งแซง แต่อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงที่แสดงบนหน้าจอ ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่ 16.5 กม./ลิตร

ที่ความเร็วสูง ทรงตัวมั่นใจ เครื่องยนต์ตอบสนองได้อย่างทรงพลัง

การวิ่งผ่านเส้นทางที่ขุขระ ช่วงล่างสามารถซับแรงสะเทือนได้น่าพอใจ

                สิ่งที่เป็นผลพลอยได้...แต่อดชื่นชมไม่ได้สำหรับ Toyota VIOS รุ่นใหม่นี้ ก็คือ เรื่องของช่วงล่างที่ถูกปรับเซ็ตมาใหม่ เนื่องจากน้ำหนักของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้ต้องมีการเซ็ตค่าของโช๊คอัพตามน้ำหนักที่เปลี่ยนไป ผลที่ได้ก็คือ เรื่องของความนุ่มนวล ภายใต้ความหนึบแบบกำลังดี ส่งผลให้ตัวรถทรงตัวได้อย่างโดดเด่น แม้ในย่านความเร็วสูง โดยไม่รู้สึกถึงอาการแข็งกระด้างในย่านความเร็วต่ำ ช่วยสร้างความมั่นใจและความสบายในทุกการขับขี่ ส่วนระบบดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ก็ได้รับการเซ็ตมาเป็นอย่างดี ให้น้ำหนักในการเบรคได้อย่างสม่ำเสมอ ตามแรงที่ส่งไปยังแป้นเบรค

หากต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ระบบ VSC สามารถช่วยได้ดีทีเดียว


                อีกหนึ่งลูกเล่นสำคัญที่ใส่มาใน Toyota VIOS ใหม่ แน่นอนว่าเป็นเทคโนยีเพื่อความปลอดภัยอย่างระบบควบคุมการทรงตัวหรือ VSC ที่จะช่วยรักษาสมดุลในการเคลื่อนที่ ในกรณีที่มีล้อใดล้อหนึ่งเกิดการลื่นไถล ระบบจะสั่งการให้เบรคที่ล้อนั้น โดยในขณะเดียวกันนั้นเครื่องยนต์จะถูกลดกำลังลงด้วยระบบ Traction Control (ที่สามรถปิดได้ หากต้องใช้งานในบางกรณี เช่น ต้องการพละกำลังเพื่อขึ้นจากหล่มโคลน) เพื่อดึงรถให้กลับเข้ามาอยู่ในสภาวะปกติ หลังจากที่ได้ทดลองระบบควบคุมการทรงตัว VSC ณ ศูนย์ทดสอบ Toyota Driving Experience Park ในสภาวะจำลองถนนที่เปียกลื่น ก็พบว่าระบบ VSC ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้การขับขี่ในทุกสภาวะ เปี่ยมด้วยความปลอดภัยอย่างแท้จริง


                สมค่ากับการรอคอยจริงๆ สำหรับ Toyota VIOS ใหม่ ที่จัดหนัก จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีทั้งขุมพลัง ระบบขับเคลื่อน และความปลอดภัย ซึ่งสมรรถนะที่ได้มา เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่ม (จากรุ่นเดิม) เพียง 10,000-15,000 บาท ส่งให้ Toyota VIOS ยังคงเป็นยนตรกรรมซีดานที่ครองใจคนรุ่นใหม่ และผู้ใช้รถใช้ถนนทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง

ที่มา : car.boxzaracing.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

กรมการขนส่งเปิดประมูล "ทะเบียนรถตู้" ผ่านอินเตอร์เน็ตครั้งที่ 2 รายได้ร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน จัดกิจกรรมปลูกจิตสำนึกขับขี่ปลอดภัย


กรมการขนส่งทางบก เผย!!! เปิดประมูลหมายเลขทะเบียนรถตู้ของ กทม. ผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งที่ 2 หลังจากประสบความสำเร็จในการประมูลครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน รายได้ร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน จัดกิจกรรมปลูกจิตสำนึกด้านการขับขี่ที่ปลอดภัยและช่วยเหลืออุปกรณ์เพื่อการ ยังชีพแก่ผู้ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน
.
นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก ได้นำหมายเลขทะเบียนรถตู้ ของกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งเป็นที่ต้องการหรือเป็นที่นิยมของประชาชนหมวดละ 301 หมายเลข ออกประมูลเป็นการทั่วไปเป็นครั้งที่ 2 โดยเปิดให้ประมูลผ่านอินเทอร์เน็ตที่ www.tabienrod.com ในหมวดอักษร ฮว กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม – 11 สิงหาคม 2559 ซึ่งนับเป็นการประมูลหมายเลขทะเบียนรถตู้ครั้งที่ 2 ของกทม. หลังจากประสบความสำเร็จจากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถตู้หมวด ฮล กรุงเทพมหานคร เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งหมายเลขที่ประมูลได้ในราคาสูงสุด คือ ฮล 9999 ประมูลได้ในราคา 1,268,000 บาท และหมายเลขทะเบียนประมูลได้ในราคาต่ำสุด คือหมายเลข ฮล 2112 ประมูลได้ในราคา 10,111 บาท ซึ่งในการประมูลครั้งดังกล่าวได้นำรายได้จากการประมูลเข้ากองทุนเพื่อความ ปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน จำนวนกว่า 25,000,000 บาท นอกจากนี้กรมการขนส่งทางบก ยังกำหนดให้มีการประมูลหมายเลขทะเบียนรถกระบะ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.tabienrod.com โดยหมวด 1ฒย กรุงเทพมหานคร เปิดประมูลตั้งแต่บัดนี้ จนถึง วันที่ 27 พฤษภาคม 2559 และส่วนภูมิภาคที่จังหวัดจันทบุรี ประมูลหมวด บว จันทบุรี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 จังหวัดเชียงใหม่ ประมูลหมวด ผห เชียงใหม่ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2559 และที่จังหวัดชลบุรี ประมูลหมวด ผว ชลบุรี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2559 โดยรายได้ทั้งหมดนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อนำไป รณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน และเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน
.
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การประมูลหมายเลขทะเบียนรถตู้ดังกล่าวเป็นการประมูลทาง อินเทอร์เน็ตที่ www.tabienrod.com เช่นเดียวกับการประมูลหมายเลขทะเบียนรถกระบะ ซึ่งเป็นแบบกำหนดช่วงเวลา ตามวันและเวลาที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ผู้สนใจสามารถเสนอราคาได้ 2 แบบ คือ การประมูลทางอินเทอร์เน็ตแบบ เสนอราคาแข่งกับผู้ประมูลรายอื่นด้วยตนเอง และการประมูลทางอินเทอร์เน็ตแบบเสนอราคาล่วงหน้า (Maximum bid) ทั้งนี้ การประมูลทะเบียนรถแบบเสนอราคาแข่งกับผู้ประมูลรายอื่นด้วยตนเอง ระบบจะนำราคาที่ผู้เสนอแสดงให้ผู้ประมูลราย อื่นทราบผ่านทางเว็บไซต์ และหากมีผู้ประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่าผู้ประมูลเดิม ก็สามารถเสนอราคาใหม่ได้จนกว่าจะ ถึงเวลาสิ้นสุดการประมูลเลขนั้นๆ โดยเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดการประมูลหมายเลขใด หากไม่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าราคาที่แสดงไว้ให้ ถือว่าผู้ประมูลที่ให้ราคาสูงสุดในขณะนั้น เป็นผู้ชนะการประมูลสำหรับหมายเลขทะเบียนรถนั้น ส่วนแบบเสนอราคาล่วงหน้า (Maximum bid) โดยผู้ประมูลจะเข้าไปเสนอราคาสูงสุดที่คิดว่าตนเองรับได้ไว้ล่วงหน้า และระบบจะดำเนินการประมูล และเพิ่มราคาไปตามลำดับราคาที่เพิ่มขึ้นของแต่ละกลุ่มหมายเลขจนกว่าจะไม่มี ผู้ประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่า หรือถึง ราคาสูงสุดที่ผู้ประมูลตั้งราคาไว้ หากไม่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าราคาสูงสุดที่ผู้ประมูลตั้งราคาไว้จะถือว่าผู้ ประมูลแบบเสนอราคา ล่วงหน้าเป็นผู้ชนะการประมูลหมายเลขทะเบียนรถนั้น ผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถตู้และรถกระบะ ติดตามกำหนดการประมูลทะเบียนรถแต่ละจังหวัดได้ที่ www.tabienrod.com หรือสอบถามรายละเอียดการประมูล หมายเลขทะเบียนรถสวยส่วนกลาง เพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการ ขนส่งทางบก โทรศัพท์ 02-272 5937 ส่วนภูมิภาคที่สำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

หนุ่มขับรถตกเหวเหลือแต่โครงกระดูก ญาติแจ้งหายนานนับปี

ชาวบ้านพบโครงกระดูกมนุษย์ในซากรถยนต์ที่และมีรอยไหม้ ตำรวจเข้าตรวจคาดขับรถประสบอุบัติเหตุตกเขาช่วงที่ไม่มีคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (12 พ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 15.15 น. สภ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งมีผู้พบซากรถยนต์ตกไหล่เขา บริเวณถนนสายแม่นาจร-ปางอุ๋ง ระหว่าง กม.75-76 บ้านแม่นาจร หมู่ที่ 16 ต.แม่นาจร. อ.แม่แจ่ม และพบโครงกระดูกมนุษย์ในซากรถยนต์คันดังกล่าว
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบซากรถยนต์กระบะซึ่งมีรอยไหม้และมีคราบสนิมจับติด ตรวจสอบพบเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน. ผย.-5342 เชียงใหม่ สภาพรถยนต์มีลักษณะตกกระแทกมาจากที่สูง มีร่องรอยของการถูกไฟไหม้และคาบสนิมจับติดโดยทั่ว ในรถยนต์พบโครงกระดูกมนุษย์ไม่ทราบเพศ
จากการตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ดังกล่าว พบผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองชื่อ นายสุรเดช อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีญาติไปแจ้งบุคคลสูญหายว่าได้ออกจากที่พักในเขตพื้นที่ สภ.แม่ปิง เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2558 เพื่อเดินทางกลับบ้านที่อำเภอแม่แจ่ม แล้วหายไป
จากการสอบสวนเบื้องต้นสันนิษฐานว่า โครงกระดูกดังกล่าวเป็นโครงกระดูกของนายสุรเดช ที่ขับรถยนต์คันดังกล่าวเดินทางกลับบ้าน มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง แล้วเสียหลักตกลงไปในไหล่เขา ซึ่งมีความลึกประมาณ 50 เมตร แล้วถึงแก่ความตายโดยไม่มีผู้ใดทราบ
จนกระทั่งได้มีผู้มาพบและแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ จึงได้บันทึกตรวจสถานที่เกิดเหตุร่วมกับแพทย์ตรวจชันสูตรพลิกศพ และจัดเก็บโครงกระดูกเพื่อทำการส่งเปรียบเทียบยินดีกับทางญาติของผู้ตายต่อไป




ที่มา : news.sanook.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

งงข้ามวัน!! “ใบสั่ง” ข้อหาแปลกๆ ที่พบเห็นได้เฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น!

      
      สำหรับคนที่ต้องใช้พาหนะเดินทางไปในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ก็จะพบเจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตามท้องที่ต่างๆที่คอยกวดขันวินัย โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ส่วนมากจะโดนตำรวจเรียกตรวจเอกสารอยู่บ่อยๆ ถ้าผิดกฎจริงก็โดน ยึดใบขับขี่ ได้ใบสั่งกลับไปตามระเบียบ แต่ทว่าวันนี้ เราจะนำใบสั่งสุดแปลกมาให้ชม ที่หาได้เฉพาะประเทศไทยบ้านเราเท่านั้น จะเป็นอย่างไรมาดูกัน

1.จัดไป 200 บาท ข้อหาไม่มีนามสกุล
1
2.ขับมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ฮ่าๆ!
2
3. ไม่พกคู่มือรถ..ข้อหาอะไรเนี้ย โดนไป 200 
3
4.คนซ้อน ไม่มีใบขับขี่ก็โดน นะครับแหม่
4
5.ไม่มียางอะไหล่ ไม่ต้อง งง โดนไป 400 ฮ่าๆ
5
6.ฝ่าสัญญานไฟเขียว เฮ้ออ
6
7. แตรดังเกิ๊นน… ปรับ 200 บาท
7

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 7 ใบสั่ง ที่ทำให้เอางงข้ามวันกันเลยทีเดียว 5 5 5 ไว้เจอกันใหม่ครับ

อย่าโง่…ให้ศุนย์หลอก!!! 5 สิ่ง…อย่าเชื่อศูนย์บริการ หากเปลี่ยนต้องเช็ก!

เคยไหม? เมื่อเข้าศูนย์บริการเพื่อไปเช็กระยะ หรือทำอะไรอย่างอื่น มักจะโดนพนักงานที่ศูนย์ฯ ถามนู่นนี่นั่น เพื่อให้เปลี่ยน หรือเพิ่มเติมบริการเข้าไป ซึ่งจริงๆ แล้วบางอย่างก็ถือเป็นเรื่องดี แต่บางอย่างก็ถือเป็นสิ่งที่เกินจำเป็น
3
เพราะบางอย่างทำที่ร้านข้างนอกก็ได้ ซึ่งข้อเสนอของสินค้าบางตัวอาจดี และถูกกว่าศูนย์บริการ เช่น ราคาสินค้า, ค่าแรง ฯลฯ แต่สมรรถนะ หรือคุณภาพกลับไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก เราจึงรวม 5 สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกับศูนย์บริการไว้ให้เพื่อพิจารณาตามสมควร ดังนี้

1.ยางรถยนต์
ถือเป็นอุปกรณ์สิ้นเปลืองอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ แต่ถึงยังไงมันก็จำเป็นต้องเปลี่ยน เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง และเมื่อเข้าศูนย์บริการ เพื่อเช็ก หรือสลับยางรถยนต์ หากทางศูนย์ฯ พบว่า ดอกยางใกล้หมด หรือยางเสื่อมสภาพแล้ว ทางศูนย์ก็จะอาสาเปลี่ยนยางให้ทันที ซึ่งจริงๆ แล้ว ศูนย์ฯ ก็นำรถของเราไปเปลี่ยนยางร้านข้างนอกนั่นแหละ หรือต่อให้มียางสต๊อกอยู่ในศูนย์ฯ ก็จะมีการบวกเพิ่มราคาค่าบริการต่างๆ เข้าไปอีก ดังนั้นหากเรารู้ขนาดยางวงเดิม ยี่ห้อที่ต้องการ หรือไม่รู้อะไรเลย แต่ต้องการยางขนาด และยี่ห้อเดิมที่ใส่อยู่ ก็เข้าไปที่ร้านข้างนอกดีกว่า รับรองว่าราคาถูกกว่าแน่นอน

2.แบตเตอรี่
เมื่อเข้าไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ อีกสิ่งที่ถูกเช็กเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ แบตเตอรี่ และหากทางศูนย์ฯ พบว่า แบตเตอรี่ของเราเริ่มเสื่อม หรือใกล้หมดอายุการใช้งาน ทางศูนย์ฯ ก็จะเสนอขายแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้คุณทันที พร้อมบรรยายสรรพคุณต่างๆ ว่ามันดีกว่าของร้านข้างนอกยังไง ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณภาพไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ต่างกันก็เรื่องราคา ที่ร้านข้างนอกจะถูกกว่านั่นเอง และการเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่ถอดของเก่า แล้วใส่ของใหม่เข้าไปแทนที่เท่านั้นเอง ไม่ต้องพึ่งช่างผู้ชำนาญอะไรเลย
3.น้ำมันเครื่อง
ส่วนมากเรามักจะคิดว่า น้ำมันเครื่องจากศูนย์บริการนั้นดี ได้มาตรฐาน เพราะมาจากศูนย์ฯ โดยตรง ซึ่งความเชื่อแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะทุกวันนี้ศูนย์ฯ ต่างๆ มีน้ำมันเครื่องที่ตีตรายี่ห้อเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว และในความเป็นจริง น้ำมันเครื่องศูนย์ฯ กับน้ำมันเครื่องยี่ห้อต่างๆ ที่มีขายทั่วไป ผลิตขึ้นมาแทบจะเหมือนๆ กันทั้งหมด คุณสมบัติ และประโยชน์แทบไม่แตกต่างกันเลย และจริงๆ แล้วเครื่องยนต์แค่ต้องการน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหล่อลื่นตามที่ผู้ผลิตกำหนดเท่านั้น เช่น 5W-40 ถ้าคุณซื้อน้ำมันเครื่อง 5W-40 ยี่ห้ออื่นมาใช้ หรือซื้อมาให้ศูนย์ฯ เปลี่ยนแทนน้ำมันเครื่องศูนย์ฯ ก็สามารถใช้แทนกันได้ และมีสมรรถนะเหมือนกัน แถมราคายังถูกกว่าอีกด้วย

4.น้ำยาล้างหัวฉีด
ใครเข้าไปเช็กระยะ แล้วไม่เจอคำถามนี้ “ใส่น้ำยาล้างหัวฉีดด้วยไหมครับ/คะ” คงมีอะไรผิดแปลกไปแน่ๆ เพราะที่ศูนย์บริการนั้น ต้องการที่จะขายน้ำยาตัวนี้ไปด้วยเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว น้ำยาล้างหัวฉีดก็คือ หัวเชื้อน้ำมันเบนซิน ที่จะทำให้มีการจุดระเบิดที่สมบูรณ์ขึ้น ผสมใส่ในน้ำมันเชื้อเพลิง และเราสามารถซื้อมาใส่เองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ศูนย์ฯ เปลี่ยนให้ มีราคาหลากหลายให้เลือกแล้วแต่ยี่ห้อ ราคาถูกกว่าชัวร์

5.หลอดไฟ
บางคนมีปัญหาอะไรนิดหน่อยก็เข้าศูนย์บริการ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างหลอดไฟ ซึ่งจริงๆ แล้ว เราสามารถเปลี่ยนเองได้ หากมีความรู้เรื่องช่างบ้าง อีกทั้งหลอดไฟยังมีราคาไม่สูงมากนัก หากซื้อร้านข้างนอก และเสียเวลาในการเปลี่ยนใส่ไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำไม่เป็น ไม่มีความรู้เรื่องรถยนต์อะไรเลย เข้าศูนย์ฯ ก็ได้ แต่ก็จะเสียเวลา และค่าบริการที่มากขึ้น

ทั้งหมด 5 ข้อนี้ ถือเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องถึงมือศูนย์บริการก็ได้ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ ว่าจะทำ จะเปลี่ยนอะไรที่ไหน หากอยากประหยัดงบหน่อย คุณภาพไม่แตกต่างกัน ก็ลองดูร้านข้างนอก หรือถ้ากลัว ไม่มั่นใจ จะเลือกใช้ศูนย์บริการก็ได้ เพราะเงินที่จะต้องเสียอยู่ในมือเรานั่นเอง

ที่มา : silkspan
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ก่อนทำประกันภัยรถยนต์ ควรอ่านสักนิด ! คำแนะนำดีๆ




ควรทำประกันรถยนต์ไว้เพื่อความสบายใจในการใช้งาน
 
          เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้ทางทีมงานจะพาเพื่อนๆไปพบกับอีก1เรื่อง ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกับผู้ใช้รถยนต์ เป็นอย่างมากนั้นก็คือ ประกันภัยรถยนต์ ซึ่งประกันภัยรถยนต์ยนต์ ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นติดรถทุกคันแต่ในวันนี้เราจะมาดูกันว่าประกันภัยรถยนต์นั้นมีแบบไหนบ้างเดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้
 
 

การที่จะต่อภาษีรถยนต์นั้นจำเป็นจะต้องทำ พรบ.ก่อนทุกครั้ง
 
          สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ในปัจจุบันนี้นั้นส่วนใหญ่จะมีประกันภัยรถยนต์อยู่แล้วแต่บางท่านก็ยังไม่ทราบว่าประกันภัยรถยนต์นั้นมีอะไรบ้างซึ่งประกันภัยรถยนต์สามารถแบ่งออกได้ตามนี้

1.ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ
ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ อันนี้เพื่อนๆรู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอน ที่หลายๆท่านชอบเรียกกันว่า พรบ.โดยตัว พรบ.จะเป็นประกันภัยที่ทางกฎหมายนั้นบังคับให้เจ้าของรถทุกแบบทุกจำเป็นต้องทำ และอีกสิ่งนึงหากไม่มีการทำ พรบ. เราก็จะไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ได้อีกด้วย

2.ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
ประกันภัยภาคสมัครใจ ตัวนี้นั้นใครจะสามารถทำประกันภัยหรือไม่ทำประกันภัยก็ได้ ซึ่งผู้ที่สนใจที่ต้องการจะทำนั้นสามารถหาซื้อประกันภัย ได้ตามบริษัทประกันภัยหลายๆบริษัทในบ้านเรา ซึ่งแต่ละบริษัทนั้นก็จะมีรูปแบบของประกันภัยให้เลือกต่างๆมากมาย ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีการคุ้มครองและก็ค่าเบี้ยประกันที่ต่างกัน โดยสามารถ แยกย่อยได้ตามนี้
 -ประกันภัยชั้น 1

-คุ้มครองในเรื่องความเสียหายต่อชีวิตและอนามัยขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในความเสียเรื่องทรัพย์สินขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในส่วนซ่อมรถคันเอาประกัน
-คุ้มครองในกรณี รถหาย หรือ ไฟไหม้ ซึ่งการรับผิดชอบจะอยู่ตามทุนประกัน
-ค่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 13,000 ขึ้นไป

-ประกันภัยชั้น 2+
-คุ้มครองในเรื่องความเสียหายต่อชีวิตและอนามัยขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในความเสียเรื่องทรัพย์สินขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในส่วนซ่อมรถคันเอาประกัน ต้องชนกับรถด้วยกันเท่านั้น หรือมีคู่กรณี
-คุ้มครองในกรณี รถหาย หรือ ไฟไหม้
-ค่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 7,200-12,000 แล้วแต่บริษัทและทุนประกันที่เลือก

-ประกันภัยชั้น 3
-คุ้มครองในเรื่องความเสียหายต่อชีวิตและอนามัยขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในความเสียเรื่องทรัพย์สินขอบบุคคลภายนอก
-ค่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 1,900-2,500 บาทสำหรับรถเก๋ง และ 2,800-3,500 สำหรับรถกระบะ

-ประกันภัยชั้น 3+
-คุ้มครองในเรื่องความเสียหายต่อชีวิตและอนามัยขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในความเสียเรื่องทรัพย์สินขอบบุคคลภายนอก
-คุ้มครองในส่วนซ่อมรถคันเอาประกัน ต้องชนกับรถด้วยกันเท่านั้น หรือมีคู่กรณี
-ค่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ 6,500-9,000 แล้วแต่บริษัทและทุนประกันที่เลือก
           ซึ่งการทำประกันภัยนั้นผู้ที่ทำต้องตรวจสอบเงื่อนไขและการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยที่ได้ทำการซื้อเพราะแต่ละที่นั้นจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นที่ต้องตรวจสอบให้ดี


ประกันภัยแต่ละแบบนี้จะมีการคุ้มครองที่แตกต่างกัน
 
        ขอบคุณข้อมูล  : car.boxzaracing.com
เรียบเรียง : Kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook