ภาษีรถยนต์ปี 2559 ที่ควรรู้

     ในช่วงปี 2557-2558 สังเกตได้ง่ายๆเลยทีว่ามีรถยนต์เปิดตัวมากมายและต่างมอบแคมเปญ – ข้อเสนอพิเศษ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้มากทุกสุด ้เพราะในปี 2559 จะมีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ราคาถูก หรือ แพงขึ้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ





สาเหตุของการปรับภาษีใหม่เนื่องจากโครงการรถคันแรก ทำให้ใครๆอยากได้รถเพราะราคาปรับลด และแน่นอนว่ามันทำให้สรรพสามิต เสียรายได้จากการเก็บภาษีรถยนต์มากเลยทีเดียว
เกริ่นมาซะยาวเหยียด เรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ เกี่ยวกับรายละเอียดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ต้นปี59 ที่เค้าแบ่งเป็น 8 กลุ่มรถยนต์ และซอยย่อยลงไปในแต่ละกลุ่ม ตามปริมาณการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ มาดูรายละเอียดกันเลยครับ
1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 40% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)
2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)
3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 10%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 10%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 20%
– ปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%
4. รถยนต์ Eco Car (เดิมจัดเก็บภาษี 17%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และใช้น้ำมัน E85 ได้ จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 14%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 17%
5. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 3%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
6. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 7%
7. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 12%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 15%
8. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 20%)
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%

สรุปภาษีสรรสามิตใหม่ปี 2559


จะสังเกตได้ว่าหากภายในปี 2559 ผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถทำให้รถยนต์ของตัวเองมีความประหยัด และ ลดมลพิษทางอากาศได้แล้วภาษีจะยิ่งหนักเพียงแค่รองรับน้ำมัน E20 E85 B5 CNG หรือจะเป็นพลังงานจากไฟฟ้าได้นั้น ไม่เพียงพออีกต่อไป
เรียบเรียงโดย : kcycar.com
ขอบคุณข้อมูล : kmotors.co.th Carsnewupdate.blogspot.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

วัน-สัปดาห์ผลิตยางรถยนต์ ความจริง & ความเชื่อผิดๆ หลายคนกลัว แม้ยางเก่าเก็บแค่ไม่กี่เดือน

         หลายคนอ่านสัปดาห์และปีผลิตรถยนต์เป็น แต่หลายคนในกลุ่มนั้น มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ควรซื้อยางเก่าเก็บเกิน 3-6 เดือน เพราะกลัวว่ายางจะเสื่อมสภาพ ทั้งที่จริงๆ แล้วยางเก็บได้นานและทนกว่านั้น เก็บได้เกิน ปีไปอีกนาน โดยไม่เสื่อมสภาพ เพราะยางรถยนต์เป็นสารเคมี ไม่ใช่วัตถุดิบอย่างยางพารา อ่านบทความ...ความจริง ที่สวนทางกับความเชื่อ จากผลการทดสอบและวิจัยจากคนกลางที่ไม่ใช่บริษัทยาง จึงน่าจะมีความน่าเชื่อถือและเป็น...ความจริง ให้คุณเปลี่ยนความเชื่อ !
หลายคนมีความรู้สามารถอ่านสัปดาห์หรือปีผลิตยาง ที่หล่อไว้บนแก้มยางหรือหาดูตามห่อยางได้ นับเป็นเรื่องดี ซึ่งทำให้เลี่ยงซื้อยางเก่าเก็บได้ แต่หลาย 10 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนั้น มีความเชื่อผิดๆ ว่ายางรถยนต์จะเสื่อมสภาพเร็ว แม้ยังไม่ได้ใช้งาน แต่อยู่ในการเก็บสต็อกหลังวันผลิตแล้วรอวันขาย หลายคนเสาะหายางอายุไม่เกิน 3-6 เดือน จนเกิดความยุ่งยากในการซื้อ ต้องตระเวนหาร้านใหม่ หรือถ้าเก่าเกินปีก็รีบเมินหนีทันที


นับเป็นความเชื่อผิดๆ ที่สืบเนื่องกันมา โดยอาจจะอิงจากความจริงขั้นพื้นฐาน อะไรก็ตามที่เก่าเก็บนานๆ ก็พบว่ามักเสื่อมสภาพลงได้ ทั้งที่ไม่ได้ผ่านการใช้งาน หรือคิดกันเล่นๆ ว่า ขนมเค้กนั้นไม่ได้รับประทาน เก็บไว้ไม่นานก็บูดเสีย โดยไม่ศึกษาหาความรู้ที่แท้จริงว่า วัตถุอะไรจะเสื่อมเพราะเวลาได้เร็วสักแค่ไหน
ยางรถยนต์ แม้ใช้วัตถุดิบมาจากยางพาราส่วนหนึ่ง แต่เนื้อยางจริงๆ มีส่วนผสมของยางพาราไม่มากนัก แต่เป็นไปด้วยสารเคมีมากมาย จึงทำให้ยางคงรูปและเกาะถนน มีความห่างชั้นจากยางหนังสติ๊กที่คุ้นเคยกัน แม้จะเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่ายาง และมีส่วนผสมของยางพาราเหมือนๆ กัน
เนื้อยางรถยนต์ เปรียบเสมือนสารเคมีมากกว่ายางพารา จึงมีความทนทั้งต่อการเก็บและการใช้งานที่ต้องบดบี้กับพื้นอยู่ตลอดการใช้งาน
บทความนี้ไม่ได้แนะนำให้ซื้อยางเก่าเก็บหรือเข้าข้างบริษัทยางให้ขายยางค้างสต็อกได้ง่าย แต่ต้องการให้ความรู้ที่ถูกต้อง และอยากให้พุ่งความสนใจไปที่คุณสมบัติอื่น ที่สำคัญกว่าในการเลือกซื้อยางรถยนต์ เช่น ลวดลาย ความแข็ง ความทนทาน ประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มความสะดวกในการซื้อ ไม่ต้องตระเวนหรือเฟ้นหายางที่เพิ่งผลิตมาสดๆ บางคนถึงขั้นเก่าเก็บเกิน 3 เดือนไม่ซื้อ ทำเหมือนซื้อขนมเค้ก ต้องรอหน้าเตาอบกันเลย


วิ ธี อ่ า น วั น สั ป ด า ห์ ที่ ผ ลิ ต
จริงๆ แล้วไม่ได้ระบุวันผลิต แต่บอกถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต ส่วนใหญ่จะเป็นตัวเลข 4 หลักใกล้ๆ ตัวย่อ DOT (United States - Department of Transportation) อยู่ในวงรี ตัวอย่างเช่น 4710 ความหมายคือ เลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ของปีที่ผลิต และเลข 2 ตัวหลังเป็นเลข 2 หลักสุดท้ายของปี ค.ศ ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2000 ขึ้นมา ตามตัวอย่าง คือ ยางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 47 ค.ศ. 2010
ถ้าเป็นยางที่ผลิตก่อนปี 2000 จะเป็นเลข 3 หลัก เช่น 458 ความหมายคือ เลข 2 ตัวแรกเป็นสัปดาห์ที่ของปีที่ผลิต และตัวเลขหลังเป็นหลักสุดท้ายของค.ศ ที่ผลิตในช่วงปี 1990-1999 ตามตัวอย่างคือ ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 45 ปี ค.ศ. 1998

ตัวเลข 4 หลักของวันผลิตยางทุก 100 ปีจะต้องเปลี่ยน เพราะ 2 ตัวเลขหลังซึ่งบอกปีผลิตจะซ้ำกัน ก็เหมือนช่วง ค.ศ. 19xx ใช้เลข 3 หลัก และค.ศ 2xxx ต้องเปลี่ยนมาใช้เลข 4 หลัก ส่วนช่วงค.ศ 21xx จะใช้เลขกี่หลักนั้นยังบอกไม่ได้ต้องรออีก 89 ปี หรือตอนนั้นรถยนต์อาจจะไม่การใช้ยางแล้วก็ได้


วัน สัปดาห์ หรือเดือนที่ผลิตยางเส้นนั้น ถ้าไม่มีที่แก้มยาง ก็อาจจะระบุบนหีบห่อของยาง หรือเป็นหมึกปั๊มบนแก้มยาง อาจระบุต่างออกไปเช่นเป็นปี พ.ศ. แต่ส่วนใหญ่ยางรถยนต์ในปัจจุบันในทุกยี่ห้อ มักจะระบุสัปดาห์และปีที่ผลิต เป็นตัวหล่อบนแก้มยางแบบลบไม่ได้ใกล้ตัวย่อ DOT
อ่านบทความ...ความจริง ถึงอายุยางรถยนต์หลังวันผลิตก่อนวันขาย ว่าการเก่าเก็บนานแค่ไหน จะมีผลต่อประสิทธิภาพของยางมากเพียงไร คุณอาจงง ว่ายางเก่าเก็บ 3 หรือ 6 ปียังใช้งานได้ดี และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน !
เนื้อหาหลักมาจากการรวบรวมของผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตยาง และสังเกตได้ว่าไม่มีการระบุยี่ห้อยาง โดยเป็นผลจากการทดสอบและวิจัยจากหลายฝ่าย

นอกจากบทความนี้ ก่อนหน้านี้หลายปี มีหน่วยงานไทยได้ทดสอบถึงข้อสงสัยในเรื่องนี้ด้วย ( มี ภ า พ โ ป ส เ ต อ ร์ ป ร ะ ก อ บ )
โดยกรมการค้าภายในได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ค้ายางรถยนต์ พร้อมได้การสนับสนุนจากบริษัทกู๊ดเยียร์และมิชลิน จัดทดสอบคุณภาพยางระหว่างที่ผลิตไม่เกิน 6 เดือนเปรียบเทียบกับยางเก่าเก็บที่ผลิตมาแล้ว 24 เดือน (2 ปี) เพื่อคลายความสงสัยและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อยางรถยนต์ให้เหมาะสม
ทำการทดสอบภายใต้เงื่อนไขของสถาบันยานยนต์ ใช้ มอก. เป็นมาตรฐานในการทดสอบ พร้อมใช้ค่าทดสอบสูงเกินกว่าพฤติกรรมการใช้งานจริงของคนทั่วไป และสูงกว่ามาตรฐาน มอก. ที่กำหนดไว้ด้วยซ้ำ ในการทดสอบใช้ตัวแปรทุกอย่างเหมือนกัน ต่างแค่วันผลิตของยางเท่านั้น โดยทดสอบประสิทธิภาพการใช้น้ำหนักบรรทุก และทดสอบวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม.ต่อเนื่องมากกว่า 10 ชั่วโมง
ผลทดสอบที่ได้คือ ยางที่ผลิตต่างช่วงเวลากัน มีแค่วันผลิตที่ต่างกัน...แต่ประสิทธิภาพยังคงเดิม

ที่มา : auto.sanook.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ


เรื่องของล้อแม็ก…ทำไมต้องเลือกเบาไว้ก่อน?

        มันเป็นเรื่องที่คนที่รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจจะเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ให้รถเรา อาจเป็นเพราะรองเท้าคู่เดิมที่มากับรถมันไม่สวย ไม่โหด ไม่เด่น เล็กไปหรืออะไรก็แล้วแต่ และการเปลี่ยนล้อแม็ก (รองเท้า) ก็จะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนที่ชอบแต่งรถจะพิจารณาเปลี่ยนเป็นสิ่งแรกรวมถึงตัวผมเองด้วย


      ในการเลือกล้อแม็กนั้นมันก็มีปัจจัยในการเลือกหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกันเช่น ราคา ความสวยงาม ขนาด สี ความแข็งแรง หรือจะเป็นความเบา แต่สิ่งที่เราซึ่งเป็นขาซิ่งหรือแต่งแนว racing จะใส่ใจการเลือกล้อแม็กที่น้ำหนักเป็นหลัก นั่นก็คือจะต้องคำนึงถึงความเบาของล้อต่อวงเป็นหลักก่อนเลยว่าต้องเอาเบาที่สุดแต่ต้องแข็งแรงด้วยเช่นพวกล้อ forged* (ล้อ forged คืออะไรให้ไปดูด้านล่างสุดของบทความนี้นะครับ) เป็นต้น


ล้อแม็กก็เปรียบเสมือนรองเท้า รองเท้ายิ่งเบา ก็ยิ่งเดินสบาย ส่วนรองเท้าที่หนักเวลาเราเดินหรือวิ่งจะรู้สึกลำบาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือความแข็งแรง แม้ล้อแม็กนั้นจะมีน้ำหนักเบาแต่ต้องแน่ใจว่าความแข็งแรงนั้นจะไม่ลดลงไปด้วย เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ อีกทั้งความเบานั้นต้องสัมพันธ์กับขนาดของเครื่องยนต์ เช่น รถขนาดใหญ่ถ้าใส่แม็กเบาเกินไปก็จะทำให้สมรรถนะในการขับขี่ไม่มั่นคงนัก
สุดท้ายนี้ความแข็งแรงของล้อนั้นก็สำคัญมากไม่แพ้กับความเบาโดยของ 2 สิ่งนี้มักจะมาคู่กันเสมอ เบาและแข็งแรง เพราะพวกขาซิ่งจะขับโหดมาก ถ้าเบาแต่ไม่แข็งแรงสุดท้ายก็ดุ้งก็แตกถ้าจะหลุมเจอบ่อ


*ล้อ forged คือ ล้อที่ขึ้นรูปจากแท่งอะลูมิเนียม ด้วยแรงกดที่สูงเป็นพัน ๆ ตัน ทำให้เนื้อของชิ้นงานมีความหนาแน่นสูงโดยไม่จำเป็นต้องมีความหนาแน่นสูงโดยไม่จำเป็นต้องมีความหนาเข้ามาช่วยและยังสิ้นเปลืองวัตถุดิบน้อยกว่า ดีไซน์ได้หลากหลายสวยงามเพราะมีข้อจำกัดน้อยกว่า ล้อจะมีความแข็งแรงสูงและเบากว่า แต่แน่นอนว่าราคาค่าตัวก็ย่อมต้องสูงตามคุณสมบัติไปด้วย พวกล้อแบรนด์ดังราคาแพง ๆ ที่ลายสวยน้ำหนักเบาส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีนี้ในการผลิต
**Forging คือ กรรมวิธีผลิตชิ้นส่วนโดยจะนำเหล็กมาเผาให้ได้อุณหภูมิที่พอเหมาะก่อนนำไปกดอัดให้เป็นรูปร่างตามที่้ต้อง กรรมวิธีนี้จะแตกต่างจากการหล่อโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ต้องทำให้เหล็กละลายเหมือนการหล่อ แต่จะทำให้เหล็กอยู่ในสภาพอ่อนตัวก่อนนำไปขึ้นรูป ในเมื่อการฟอร์จจิ้งสามารถผลิตชิ้นส่วนได้แข็งแรงกว่าวิธีแบบอื่นจึงมักใช้กับงานที่ต้องการความทนทาน แข็งแรง ปลอดภัย เช่น เป็นส่วนประกอบภายในของเครื่องยนต์, รถยนต์, เครื่องบิน, เรือ, อุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน, จรวดและขีปนาวุธ หรือเครื่องจักรกลต่าง ๆ

ทีมา : streetuseinfo.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ


วิธีรับมือหากท่านกำลังถูกไฟแนนซ์ขู่ยึดรถ


       หลังจากที่เป็นข่าวในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ว่ามีแก๊งต้มตุ๋นใช้ช่องว่างหลอกลวงอ้างว่าบริษัทไฟแนนซ์ส่งมาเพื่อทำการยึดรถยนต์ และด้วยความที่ตกใจ และกลัว ประกอบกับแก็งพวกนี้แถมมีเอกสารกรรมสิทธิ์ผู้ครอบครองฉบับปลอมแปลง มาโชว์สร้างความน่าเชื่อถือ และขอตรวจยึดรถ โดยมิจฉาชีพพวกนี้ส่วนมากเคยเป็นพนักงานตรวจยึดรถของบริษัทไฟแนนซ์หลายแห่งมาก่อนจึงมีประสบการณ์และมีเครือข่ายที่ติดต่อซื้อข้อมูลรถลูกค้าในราคาคันละ 3 บาท เพื่อใช้เป็นข้อมูล

หลายคนจึงหลงเชื่อว่ามาจากบริษัทจริงโดยที่ไม่ได้โทรสอบถามกลับบริษัทไฟแนนซ์ของตนเองว่า ส่งคนมายึดรถหรือไม่ และเมื่อมิจฉาชีพพวกนี้ก่อเหตุสำเร็จจะนำรถที่ได้มาส่งต่อไปยังหัวหน้าแก๊ง รับค่าจ้างคันละ 5 พันบาท ก่อนจะนำไปขายต่อในตลาดมืดในราคา 60 เปอร์เซ็นต์ของราคาจริง เพื่อไม่ให้เป็นการถูกหลอกลวงและเสียรถยนต์แสนรักไปแบบฟรีๆแถมยังจะต้องผ่อน ลมต่อไปอีกจนหมดนะครับ

เอาละครับไม่ว่าจะเป็นตัวจริง หรือตัวปลอม เราควรพูดคุยสอบถามไปยังบริษัทไฟแนนซ์นั้นๆก่อนว่าส่งคนมาจริงหรือเปล่าเช็ค ให้แน่ใจ แต่อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งยอมให้ยึดรถไปเด็ดคาดนะครับ วันนี้เรามีข้อมูลดีๆมาฝากกันว่าเมื่อไฟแนนซ์จะทำการยึดรถเราควรทำอย่างไร

วิธีรับ มือหากท่านกำลังถูกไฟแนนซ์ขู่ยึดรถ ให้ใจเย็น ๆ ไม่ต้องตกใจนะครับไฟแนนซ์สามารถยึดรถได้ต่อเมื่อผิดชำระค่าเช่าซื้อ 3 เดือนขึ้นไป
1. คุณจงจำไว้ว่า ไฟแนนซ์จะสามารถยึดรถเราได้ต่อเมื่อ เราค้างชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกันขึ้นไป ก่อนยึดรถอีก 1 เดือน รวมเป็น 4 เดือน ซึ่งบางครั้งอาจจะนานกว่านี้ด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าไฟแนนซ์ยึดรถก่อนหน้านี้จะมีความผิดตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องสัญญาดังนั้นผู้เช่าซื้อต้องอย่ายอมให้ยึดรถ และให้เรียกตำรวจมาเป็นพยานหากเราไม่ยินยอมให้ยึดรถ ไฟแนนซ์ไม่สามารถบังคับ หรือข่มขู่เราได้

2. ไฟแนนซ์มักขู่เรียกค่าเสียหายสูง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่สามารถเรียกค่าใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ การค่าเสียหายเรียกได้ตามค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ดังนั้นผู้เช่าซื้ออย่าวิตก

3. หากเราไม่ยินยอมให้ยึดรถ ไฟแนนซ์จะยึดรถไม่ได้ และถ้ามีการบังคับขู่เข็ญ หรือไล่ให้ผู้เช่าซื้อลงจากรถ หรือกระชากกุญแจรถไป หรือแม้แต่เอากุญแจสำรองมาเปิดรถ และขับหนีไปถือว่าทำความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และถ้ากระทำการโดยมีอาวุธหรือร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เพราะฉะนั้นถ้ามีคนกระทำการดังกล่าวให้ถ่าย รูปหรือบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้เลย สามารถแจ้งความได้ทันทีหากถูกบังคับ หรือยึดรถไปด้วยวิธีไม่สมัครใจ

4. ข้อนี้สำคัญครับ ถ้าคุณไม่ได้แคร์การติดแบล็คลิสต์ เครดิตบูโรไม่ควรให้ไฟแนนซ์ยึดรถไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะถ้าถูกยึดรถแล้วเราก็จะหมดอำนาจต่อรองทันที และหลังจากยึดรถไปแล้ว ไฟแนนซ์จะนำรถของเราไปขายทอดตลาดในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดมาก ซึ่งส่วนมากมักจะไม่พอจ่ายหนี้ที่เราเป็นอยู่ และไฟแนนซ์จะเรียกค่าเสียหายจากเรา พูดง่าย ๆ ว่า รถไม่มีแต่หนี้ยังอยู่นั่นเอง


5. ในกรณีที่เราถูกยึดรถไปแล้ว และไฟแนนซ์มีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ อย่าตกใจให้หาทนายสู้คดี เพราะค่าเสียหายของไฟแนนซ์มักจะสูงจนเว่อร์ แต่ศาลมักพิพากษาให้จ่ายเพียง 30% หรือครึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีเงินจ่ายไฟแนนซ์ ไม่ต้องติดคุก เพราะเป็นคดีแพ่งเท่านั้น

6. เมื่อแพ้คดี ไฟแนนซ์จะยึดทรัพย์ของเราที่ถือครองในนามลูกหนี้เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าเราไม่มี หรือเป็นทรัพย์ที่ถือครองโดยญาติ พี่น้อง ไฟแนนซ์ไม่สามารถกระทำการใด ๆ ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครเดือดร้อนเพราะคุณแน่นอน

7. คำถามที่หลายคนสงสัย และเป็นกังวลว่า ถ้าไม่มีเงินจ่ายไฟแนนซ์จะติดคุกหรือไม่คำตอบคือไม่ครับ เพราะเป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา และการเป็นหนี้ไฟแนนซ์ ไม่ต้องลาออกจากงาน เพราะไม่มีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน การเป็นหนี้สินถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไฟแนนซ์ไม่สามารถนำเรื่องส่วนตัวไปประจานให้เพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชาของลูกหนี้รับรู้ได้ ถ้าทำถือว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งเราสามารถฟ้องได้ครับ

แต่อย่างไรก็ตามบทความนี้เป็นเพียงวิธีการป้องกันการข่มขู่ และการเสียเปรียบ แต่อย่าเอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรนะครับ
ที่มา : www.rakcar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ




        1. ใบขับขี่กับประกันภัย หลายคนคิดว่าขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ เรียกประกันมา ใบขับขี่ไม่มีทำไงดี บางคนยัดเงินพนักงานเครม บางคนเปลี่ยนคนขับ ผมอยากชี้แจงให้ทราบว่าใบขับขี่จำเป็นต้องมีในกรณีเดียวคือเมื่อเกิดเหตุแล้วรถเจ้าของประกันภัยต้องการซ่อมรถตัวเอง นอกนั้นไม่ต้องใช้ อาจไม่เห็นภาพนะครับลองมาดูกันต่อ
*** รถมีปะะกันชั้น 1 แล้ว ไปชนรถหรือทรัพย์สินคนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ประกันจะต้องรับผิดชอบคู่กรณีแทนท่านทุกกรณี ไม่ว่าท่านจะชนรถ ชนรั้วบ้าน ชนคน ชนอะไรก็ได้ที่เป็นทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ว่าท่านจะมีใบขับขี่หรือไม่ ประกันต้องจ่ายหมด สิ่งที่แตกต่างระหว่าง มี กับไม่มี ใบขับขี่คือ ถ้าท่านไม่มีใบขับขี่ประกันจะไม่ซ่อมรถให้ท่านแค่นั้น ถ้าท่านขับรถไปชนท้ายเค้า แล้วมีใบขับขี่ประกันจะซ่อมรถให้ทั้ง 2 คัน แต่ถ้าไม่มีประกันจะซ่อมแต่รถคู่กรณีไม่ซ่อมรถท่าน กรณีที่ท่านเปิดเคลมแห้ง (ไม่มีคู่กรณี) ท่านที่มีชั้น 1 อยู่ อย่าปล่อยสิทธิให้เสียไป หากรถมีรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน อยากได้สีใหม่ เพียงแค่ใช้บุคคลที่มีใบขับขี่ โทรแจ้งขอเคลมสีของท่านได้ *** รถมีประกันชั้น 2 -3 ธรรมดา ไม่ต้องกังวลใดๆ ท่านจะขับชนอะไรก็ตาม ไม่ต้องมีใบขับขี่ประกันต้องรับผิดชอบหมด ยกเว้นชั้น 2 กรณีรถหายหรือไฟไหม้จำเป็นต้องมี*** รถที่มีประกันชั้น 2-3 พลัส หรือ ประเภท 5 ลักษณะเดียวกับประกันชั้น 1 แต่จะแตกต่างตรงที่จะต้องเป็นรถชนรถ รถที่มีป้ายทะเบียนเท่านั้น จักรยาน ซาเล้ง ไม่เกี่ยว รถชนรถ มีใบขับขี่ก็ซ่อมทั้งคู่ ไม่มีก็ซ่อมเฉพาะทรัพย์ที่เราชน

     2. เมาสุรากับประกันภัย ไม่ต้องกังวลใดๆครับ เงื่อนไข ของประกันภัย จะไม่รับผิดชอบให้ท่านต่อเมื่อท่านเมาในระดับแอลกอออล์เกิน 150 เพราะฉนั้นท่าท่านเมาไม่มากสิ่งที่ระวังคือตำรวจ พยายามหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงพัก การเป่าอลกอฮอล์ เมื่อเกิดเหตุ รุนแรงขนาดเข้าโรงบาล อย่าให้พยาบาลเจาะเลือดท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานการตรวจประกันต้องจ่ายสถานเดียว จำไว้ถ้าท่าน ไม่เมาจนเกินลิมิตประกันจ่ายคุณแน่แต่ระวังข้อหาเมาแล้วขับก็พอ (ผมเคยเมาแล้วโดนเป่า ออกมาได้ 187 เรียกว่าขับรถไม่ได้แล้วครับ) ใบขับขี่ไม่ต้องซีเรียส โดนจับก็แค่ปรับ

     3. โดนชนแล้วหนีท่านที่มีประกันชั้น 1 หรือ 2--3 พลัส หากโดนชนแล้วหนีท่านต้องจำทะเบียนรถคันนั้นให้ได้ แล้วเตรียมใบขับขี่ ถ้าไม่มี ให้หาคนมีใบขับขี่เอาไว้แล้วไปแจ้งความที่ สน ท้องที่นั้น นำใบแจ้งความมาแล้วโทรแจ้งประกัน ประกันจะส่งพนักงาน เครมมาเครมให้ ถ้าท่านไม่ทราบเลขทะเบียนของคนที่ชนท่าน สำหรับประกันชั้น 1 ให้แจ้งเป็นชนโน่นชนนี่ไม่มีคู่กรณี ตามสภาพบาดแผลที่น่าจะเป็น สำหรับ 2-3 พลัส .... อดไป

     4. เลขทะเบียน เลขเครื่อง สีรถ ภาษีขาด อธิบายสั้นๆง่ายๆว่าประกันยึดถือเลขตัวถังรถเป็นหลัก ไม่ว่าป้ายไม่ตรง เลขเครื่องไม่ตรง สีไม่ตรง ภาษีขาดต่อ ไม่เกี่ยวข้อง กับประกันภัย ไม่ต้องซีเรียส ไม่ต้องกลัวประกันไม่จ่าย หากเลขตัวรถท่านตรงเป็นอัน แฮปปี้ ยกเว้นกรณีที่ประกันหาเลข ตัวถังรถท่านไม่เจอ ประกันอาจขูดเลขเครื่องของท่านแทน

      5. ใบขับขี่โดนยึด หมดอายุ หายหากใบขับขี่โดนยึดให้แสดงใบสั่งแทน ประกันยึดถือแค่ว่าจะไม่คุ้มครองผู้ที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาติ เท่านั้น หากหมดอายุก็แสดงไปใช้ได้ไม่มีปัญหา หากโดนยึดก็แสดงใบสั่ง หากหายถ้ามีสำเนาก็แสดงสำเนาหรือหากไม่มีในวันนั้นในวันที่เอารถเข้าซ่อมก็เตรียมไปด้วยไม่งั้นอดซ่อม และหากหายและไม่มีสำเนาก็ไปทำมาซะแต่ตอนเกิดเหตุต้องแจ้งว่ามีไว้ก่อน ไม่ได้เอามาหรืออะไรก็ว่าไป มีเวลาเรื่อยๆจนกว่าท่านเอารถเข้าซ่อม

     6. เวลาเกิดเหตุกลางถนนหากตกลงกันได้ว่าใครผิดใครถูก คนผิดยอมรับผิด ให้เคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุทันที อย่าไปจอดเกะกะชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องรอประกันมาถึง หากไม่รู้ใครผิดให้ตำรวจตัดสินแล้วย้ายรถออกได้ หรือไม่มีตำรวจหากบังเอิญพกสีสเปร์มา ให้พ่นตำแหน่งที่ล้อทั้ง 2 คัน และบริเวณหน้า+ท้าย+ข้างของรถทั้ง 2 คัน ไม่จำเป็นต้องไปโรงพักหากคุยกันได้ ยกเว้นการชนที่มีคู่กรณีมากกว่า 2 คัน ถึงต้องไปโรงพัก และคนที่ผิดต้องโดนปรับข้อหาขับรถโดยประมาท

     7. ช่วงล่างกระแทกพัง แมกซ์ดุ้ง ยางระเบิด และ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ประกันชั้น 1 ต้องจ่ายให้ท่านทุกกรณีแต่ต้องมีใบขับขี่ หากท่านมีอุปกรณ์ตกแต่งราคาแพงต้องการคุ้มครองกรณีสูญหายให้ท่านเตรียมใบเสร็จจากที่ร้านที่ท่านติดตั้ง เช่น แมกซ์ เครื่องเสียง แล้วโทรสอบถามเงื่อนไขการประกันภัย ให้ประกันเพิ่มสลักหลังคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งนั้นๆ ประกันจะคิดเบี้ยท่านเพิ่มแต่ไม่มาก แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องหายก็ไม่ต้อง เพราะหากแค่เสียหายก็ยังเหลือซากให้เห็นอยู่แล้ว ยางที่ถูกกระแทกจนระเบิดประกันจะจ่ายครึ่งเดียวครับ พวกยางแพงๆขอบ 19-20 ก็จัดไปส่วนที่เป็น 2-3 พลัส อดครับ เว้นแต่ความเสียหายนั้นสืบเนื่องมากจากการชนกับของรถที่มีทะเบียน -เช่น รถท่านโดนปาดหน้าจนเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ตกคลอง กระแทกฟุตบาต แบบนี้ประกันก็ต้องวซ่อมให้ท่านครับไม่ใช่แค่แผลที่เกิดจากการปะทะระหว่างรถกับรถ

     8. ชั้น 1 เคลมสีรถแล้วจะเปลี่ยนสีสามารถทำได้ครับโดยให้แจ้งประกันว่าจะเปลี่ยนสี ประกันยึดหลักการว่า เกิดเหตุจริง ซ่อมจริง หากคุณจะเปลี่ยนสีก็ไม่ใช่ปัญหา

     9. เคลมอะไหล่แล้วอยากเปลี่ยนเป็นอะไหล่แต่งสามารถทำได้ครับ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย กันชน สเกิร์ต โดยการเพิ่มเงิน ส่วนต่าง ถ้าอู่นั้นโอเคกับท่าน หรือมีอู่ที่ใช้ประจำก็ให้อู่ทำใบเสนอราคาแล้วนำรถไปที่บริษัทเพื่อคุมราคา (ตกลงราคา) แล้วก็จัดซ่อมเอง ทีนี้จะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนโลด เสร็จแล้วประกันจะโอนเงินค่าซ่อมคืนให้กับท่าน

    10. ทุกครั้งที่รับใบแจ้งความเสียหาย หรือใบเคลม ท่านต้องตรวจสอบความเสียหายให้ตรงตามจำนวนชิ้นให้แน่นอนก่อนเซ็นรับ ผิดถูกให้แย้งและแก้ไขในรายการทันที ไม่งั้นส่วนที่ไม่ได้ลงท่านต้องซ่อมเองนะ ในกรณีที่ในชิ้นนั้นมีบาดแผลมาก่อนไม่เกี่ยวกับเหตุครั้งนั้น ประกันจะวงเล็บว่า (แผลเก่า) แปลว่าประกันจะให้ครึ่งราคาเพราะชิ้นส่วนนั้นไม่สมูรณ์ประกันจะไม่รับผิดชอบเต็มท่านต้องร่วมจ่ายด้วย

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

การดูแลรักษาระบบเบรค


         การตรวจเช็คผ้าเบรคนั้น โดยปกติเรามัก จะแนะนำให้ใช้วิธีการดู หรือสังเกตการณ์ แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และเปลี่ยนให้ กรณีที่ผ้าเบรคมีปัญหา วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับอีก ขั้นตอนหนึ่งที่คุณต้องทำหลังจากการเปลี่ยนชุดผ้าเบรคมาใหม่ นั่นคือ "การรันอิน" ที่แม้มันจะน่ารำคาญอยู่สักหน่อย แต่เพื่อประสิทธิภาพในการใช้ งานที่ดีที่สุดของผ้าเบรค จึงเป็นหน้าที่ ที่จำเป็นต้องปฏิบัติ
วิธีการรันอินเบรค (Bedding-in) นั้น เป็น ขั้นตอนที่เราควรทำทันทีหลังจากที่ออกจากร้าน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการจับของหน้าสัมผัสดีมากยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนการทำนั้นง่ายมาก ซึ่งคุณ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังกันสักนิดหนึ่ง


การรันอินเบรคนั้นสามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. เร่งความเร็ว การรันอินเบรค นั้นจำเป็นต้องใช้ความเร็วในการทำให้เกิดความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติจะแนะนำให้ใช้ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่า นั้น
2. ย้ำเบรคเรื่อยๆ เมื่อได้ความ เร็วที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ให้คุณกดเบรคลงไปให้ความเร็วจาก 60 เหลือสักประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ไม่ต้องหยุดรถ แล้วทำแบบนี้ ซ้ำไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 ครั้ง หรือาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่ไม่ควรเกิน 15 ครั้ง
3. ตรวจเช็คเบรคและจาน เมื่อทำครบ 10 ครั้งตามขั้นตอนก่อนหน้า เราจะมาตรวจสอบเบรค และจานเบรคว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ พยายามหาร่องรอยของรอยขูดขีดผิดปกติ หรือรอยสนิม ที่อาจเกิดจากการให้หน้าสัมผัสไม่เท่ากัน ซึ่งหากพบให้รีบกลับไปให้ร้านตรวจเช็ค
4. หลีกเลี่ยงการเบรคแรงๆใน 100 กม.แรก ช่วงแรกของการขับขี่แม้เบรคจะเริ่มเข้าที่ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงการเบรคอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ผิวสัมผัสของผ้าเบรคมีปัญหา ได้
ก็เป็น 4 ขั้นตอนเบื้องต้นง่ายๆ สำหรับการรันอินเบรค โดยในตอนหน้าเราจะมาพูดกันต่อถึงการรันอินเบรคที่ ผิดวิธี ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเบรคของรถเราได้
ข้อมูลโดย toyotabuzz.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ