ดีเดย์ 5 เม.ย.ต้องรัดเข็มขัดในรถฝ่าฝืนปรับ 500-1,000 สงกรานต์เอาโอ่ง ถังน้ำ ขึ้นท้ายกระบะได้ แต่ห้ามคนนั่ง

  รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
      เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่กรมการขนส่งทางบก(ขบ.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวด่วน พร้อมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กรณีที่เกี่ยวกับรายละเอียดใน ม.44 ฉบับที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า ม. 44 ที่ออกมาจะมีเรื่องของการห้ามจอดรถในที่ห้ามจอดด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเวลาไปกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการ รวมถึงค่าปรับต่างๆก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการจับปรับอย่างจริงจังต่อไป ส่วนเรื่องของการบังคับให้คบขับ รวมถึงผู้โดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารสาธารณะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น ในระหว่างวันที่ 21 มีนาคม -4 เมษายน 2560 นี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ออกมา หากพบเห็นผู้กระทำความผิดทางเจ้าหน้าที่พบเห็นจะเป็นการแจ้งเตือนก่อน ยังไม่มีการจับปรับตามกฎหมาย แต่ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป จะไม่มีการแจ้งเตือนจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่อไป เพราะจะดำเนินการจับปรับตามกฎหมายทันที เพราะถือว่าได้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว
“เรื่องนี้ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ประชาชนเพื่อให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้รถใช้ถนน”พล.ต.ท.วิทยา กล่าว
พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า สำหรับรถโดยสารสาธารณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ รถตู้ หรือรถทัวร์ จะต้องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนรถออกด้วย หรือจะต้องมีการติดป้ายแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง หากคนขับรถแจ้งแล้วผู้โดยสารไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามแล้ว ระหว่างทางปลดออก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบก็จะต้องถูกปรับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร ยกเว้นว่าทางคนขับได้ยืนยันแล้วว่าบอกให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ผู้โดยสารไม่ยอมคาด ทางคนขับจึงจะไม่ถูกปรับ และจะปรับเฉพาะผู้โดยสาร โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูที่เจตนาเป็นหลัก
พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า ทั้งนี้กรณีรถโดยสารสองแถว และรถสามล้อเครื่อง(ตุ๊กตุ๊ก)จะไม่มีการบังคับให้รัดเข็มขัด แต่จะมีมาตรการอื่นออกมาบังคับใช้เพื่อความปลอดภัยแทน เช่น การติดตั้งราวกั้นเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย และการบังคับลดความเร็ว เป็นต้น
นายสนิท กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าปรับของผู้ที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยนั้น หากเป็นไปตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นอำนาจของเจ้าหน้าของกรมการขนส่งทางบก ทางผู้ประกอบการจะต้องถูกปรับ 5 หมื่นบาท คนขับและผู้โดยสารปรับ 5 พันบาท แต่หากเป็นกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับผิดชอบ รถโดยสารสาธารณะจะถูกปรับ 1 พันบาท ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลปรับ 500 บาท
นายสนิท กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับที่นั่งรถรถตู้โดยสารสาธารณะให้เหลือ 13 ที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเคลื่อนตัวออกจากตัวรถได้ง่ายหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องของความปลอดภัย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาในรายละเอียดว่าจะเอาที่นั่งตรงไหนออกไปบ้าง จากนั้นภายในวันที่ 5 เมษายน จะกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาเพื่อให้รถตู้โดยสารสาธารณะทุกคันนำไปปรับปรุงให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
นายสนิท กล่าวว่า ในส่วนของการคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น มีประกาศกรมการขนส่งทางบกเรื่องการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยและตำแหน่งที่นั่งเพื่อกำหนดคุณสมบัติและการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2555 กำหนดให้รถยนต์ส่วนบุคคล รถแท็กซี่ และรถที่ใช้รับส่งจากสนามบิน(รถลีมูซีน) ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 – วันที่ 31 ธันวาคม 2553 จะต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยสำหรับที่นั่งของคนขับและที่นั่งตอนหน้ารถ ส่วนรถที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และสำหรับรถตู้ส่วนบุคคล รถปิคอัพ และรถสองแถว ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งของผู้ขับรถและที่นั่งตอนหน้า
นายสนิท กล่าวว่า ทั้งนี้รถตู้ส่วนบุคคลที่ผลิตหรือนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง สำหรับรถสี่ล้อเล็กรับจ้างที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 กำหนดให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเฉพาะที่นั่งด้านหน้าของคนขับและผู้โดยสาร โดยรูปแบบของเข็มขัดนิรภัยที่ต้องติดตั้งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบรัดหน้าตักและรั้งพาดไหล่ ใช้สำหรับตำแหน่งที่นั่งผู้ขับรถ ที่นั่งตอนเดียวกับผู้ขับรถและที่นั่งตอนหลังผู้ขับรถริมสุด ส่วนที่นั่งระหว่างกลางเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบรัดหน้าตัก (แบบคาดเอว)
ด้านพล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ระหว่างนี้ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรับทราบเกี่ยวกับการคาดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะจับปรับจริงในวันที่ 5 เมษายนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนบุคคลที่มีเข็มขัดนิรภัย ผู้โดยสารทุกคนต้องรัดเข็มขัดด้วย ส่วนรถกระบะจะห้ามไม่ให้นั่งด้านหลังจะให้นั่งเฉพาะห้องโดยสารเท่านั้น หากบอกว่าได้รับผลกระทบก็กระทบแน่นอน แต่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของประชาชน เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแต่ละครั้งไม่ใช่เดือดร้อนเฉพาะตัวเอง ครอบครัว และรัฐก็ต้องจ่ายเงินดูแลรักษาด้วย
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ส่งกรานต์ปีนี้ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้ามนำโอ่ง หรือถังน้ำ ขึ้นท้ายรถกระบะ สามารถนำขึ้นได้ตามปกติ แต่จะต้องไม่มีคนไปนั่ง หรือยืนอยู่ท้ายรถ หากพบก็จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับปรับแน่นอน โดยจะต้องนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้น
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


รถชน ทำอย่างไร ถ้าไม่มีประกันรถยนต์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รถชน

วันหนึ่งคุณอาจจะโชคร้ายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านการขับรถมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงในอุบัติเหตุ เพราะถนนไม่มีเพียงรถของคุณเพียงคันเดียว แต่ยังมีรถและผู้ขับคันอื่น ๆ อีกเป็นแสนเป็นล้านคัน ดังนั้น เพื่อร่วมทางอาจจะเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุก็ได้เช่นกัน และหากเกิดเหตุ รถชน ขึ้น คุณต้องรู้ว่าคุณควรจะทำอย่างไร 

1. จอดรถทันที หากคุณเกิดอุบัติเหตุ คุณควรต้องหยุดรถทันที ตรวจสอบเครื่องยนต์รถของคุณให้มั่นใจว่าดับสนิทแล้ว  จากนั้นจึงเปิดไฟฉุกเฉินไว้ เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ทราบว่าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นค่ะ ซึ่งการจอดรถทันทีที่เกิด รถชน นั้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีความสะดวกในการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ว่าใครเป็นฝ่ายผิดถูก อย่างไรก็ดี การจอดรถกลางถนน ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกนะคะ ดังนั้น การติดกล้องติดรถยนต์เอาไว้ ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดทีเดียว เพราะคุณไม่จำเป็นต้องจอดรถคาไว้กลางถนนเพื่อรอเจ้าหน้าที่ตำวจมาตรวจที่เกิดเหตุ สามารถใช้วีดีโอที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานได้เลย

บทความน่าอ่าน: ทริกเด็ดประหยัดเงิน เปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นกล้องติดรถยนต์

2. แจ้งตำรวจ เมื่อจอดรถสนิทแล้ว คุณควรโทรแจ้งตำรวจทันที หลังจากนั้นสำรวจรอบ ๆ ว่ามีใครได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือไม่ หากมีให้เรียกรถพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นให้รีบถ่ายภาพในที่เกิดเหตุเอาไว้เป็นหลักฐาน โดยห้ามเคลื่อนย้ายรถหรือเปลี่ยนแปลงที่เกิดเหตุเป็นอันขาด ในกรณีที่คุณไม่มีกล้องติดรถยนต์ที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ สิ่งที่สำคัญคือ ห้ามเซ็นเอกสารใด ๆ ที่เจ้าหนี้ที่ประกันของอีกฝ่ายให้คุณเซ็นเด็ดขาด เพราะประกันรถยนต์อาจจะยัดเยียดความเป็นฝ่ายผิดให้กับคุณได้ ทางที่ดีที่สุดคือ รอจนกว่าตำรวจจะมาถึงและตรวจสอบที่เกิดเหตุก่อน  

3. ให้รายละเอียด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง คุณจำเป็นต้องแจ้งชื่อและที่อยู่ของคุณให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องทราบ โดยอย่ามอบ (รวมถึงอย่าให้ถ่ายภาพ) เอกสารสำคัญที่จะยืนยันตัวตนของคุณ ให้กับคู่กรณีและเจ้าหน้าที่ประกันของคู่กรณีเด็ดขาด ให้ยืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น และที่สำคัญที่สุด หลีกเลี่ยงการพูดขอโทษหรือรับโทษสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น รวมถึงการเซ็นรับเป็นฝ่ายผิดที่เจ้าหน้าที่ประกันอีกฝ่ายพยายามให้คุณเซ็นอย่างที่เราบอกไปในข้อที่แล้วด้วย จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาถึงและตัดสินตามสถานการณ์ และรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคุณเป็นฝ่ายถูกหรือเป็นฝ่ายผิด ซึ่งหากคุณมีกล้องติดรถยนต์เอาไว้ จะถือว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ เพราะถือว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือและสำคัญมาก

บทความน่าอ่าน: กล้องติดรถยนต์ ช่วยลดเบี้ยประกันรถยนต์ได้

4. เก็บรวบรวมรายละเอียด เมื่อคุณให้รายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือคุณต้องเก็บรวบรวมรายชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดจากคนขับรถ ผู้โดยสาร และพยานของคู่กรณีให้ได้มากที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ให้ข้อมูลนี้ในการดำเนินการต่อไป เช่น หากคุณเป็นฝ่ายถูก แล้วประกันรถยนต์ของคู่กรณีจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของคุณ คุณจะได้ติดตามเรื่องได้ และอย่าลืมจดเลขทะเบียนรถของคู่กรณีไว้ด้วย ทางที่ดีถ่ายรูปเก็บเอาไว้เลย เพราะถ้าหากคู่กรณีหลบหนีจากที่เกิดเหตุ คุณจะได้มีข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อแจ้งให้ตำรวจได้รับทรายแต่ติดตามคดีต่อไปค่ะ

ข้อมูลสำคัญที่ควรเก็บรวบรวมจากที่เกิดเหตุ

  • หมายเลขทะเบียนรถยนต์ ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจดบันทึกสีของรถและรูปแบบของรถคันที่เกี่ยวข้องด้วย โดยการจดอาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ เราขอแนะนำว่าใช้วิธีถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานจะดีที่สุด เพราะมีความน่าเชื่อถือกว่ามาก

  • จดบันทึกวันและเวลาในช่วงเกิดเหตุ

  • ร่างแผนที่แสดงตำแหน่งของที่เกิดเหตุ หรือพินพิกัดเอาไว้ใน map ในมือถือของคุณเลยยิ่งดี เพราะเมื่อต้องกลับมาที่เกิดเหตุในภายหลังจะได้มาถูก

  • อธิบายรายละเอียดของสภาพอากาศ รวมทั้งสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ที่คุณสังเกตเห็น แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ถ่ายรูปเก็บไว้เลยจะดีที่สุดค่ะ

  • ถ่ายภาพความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ของคุณ และอาการบาดเจ็บของทั้งคุณและคู่กรณีด้วย

ไม่อยากการเงินพัง เป็นหนี้สิน ขาดสภาพคล่อง ก็ต้องทำประกันประกันรถยนต์

เห็นไหมคะว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วมันยุ่งยากแค่ไหน หากคุณเป็นฝ่ายผิดด้วยแล้ว คุณต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาลของคู่กรณี และอื่น ๆ อีกด้วย ลำพังค่ารักษาพยาบาลและค่าซ่อมรถของตัวเองก็หนักอยู่แล้ว เรียกได้ว่า อาจจะทำให้การเงินของคุณพังทลายลงไปเลยก็ได้ ดังนั้น การทำประกันรถยนต์เอาไว้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ให้คุณได้

สมัยนี้ การหาประกันรถยนต์เป็นสิ่งที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะมีเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ อย่าง MoneyGuru.co.th ที่ช่วยให้คุณเช็กราคาประกันรถยนต์จากบริษัทประกันภัยกว่า 40 บริษัทในที่เดียว นับว่าครอบคลุมที่สุดในบรรดาเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ประเทศไทย ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปเปรียบเทียบราคาประกันกับหลาย ๆ บริษัท ไม่ต้องเปิดเว็บไซต์บริษัทประกันหลาย ๆ แท็บให้ปวดหัว เพียงแค่ไม่กี่คลิก ประกันรถยนต์พร้อมรายละเอียดทั้งหมด ก็จะแสดงอยู่ที่หน้าจอของคุณ สะดวก ง่าย รวดเร็ว

เปรียบเทียบประกันรถยนต์

เมื่อรถมีประกัน เกิดเหตุแล้วต้องทำอย่างไร?

เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา สิ่งที่คุณต้องทำคือโทรเรียกประกันทันที ต่อจากนั้นก็ให้ประกันจัดการทุกอย่างเอง โดยระหว่างรอเจ้าหน้าที่ประกันรถยนต์มาที่เกิดเหตุ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือขั้นตอนต่าง ๆ ที่เรากล่าวไว้ข้างต้นเช่นกัน เพื่อเป็นการเซฟตัวเองเอาไว้อีกชั้น เพื่อว่ามีเหตุที่จะต้องมีการต่อสู่คดีอะไรต่าง ๆ ในภายหลัง คุณจะได้มีหลักฐานเอาไว้ประกอบค่ะ

การทำประกันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งนะคะ เพราะถ้าหากคุณไม่มีประกัน ทุกอย่างก็ดูจะยุ่งยากไปหมด แต่ถ้าคุณมีประกัน เมื่อเกิดเหตุทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันทีค่ะ และหากคุณต้องการอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเงิน บัตรเครดิต รถยนต์ และประกันรถยนต์ คุณสามารถกด Subscribe ทีนี่ได้เลยค่ะ MoneyGuru.co.th จะส่งสาระความรู้ดี ๆ แบบนี้ตรงถึงอีเมลของคุณทุก ๆ สัปดาห์

ที่มา : www.moneyguru.co.th

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เจาะสเป็ค Nissan Teana 2014 (L33) นิสสันเทียน่าใหม่ 2.0XL แบบจัดเต็ม

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

Nissan Teana 2014 (นิสสันเทียน่า 2014)

คลิปรีวิว Nissan Teana L33 ของจริง

หากใครที่ต้องการดูคลิป เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมของ รถยนต์นิสสันเทียน่า L33 ก่อนที่จะอ่านรีวิวเพื่อลงลึกในรายละเอียด ก็สามารถกดปุ่มเพลย์ ที่คลิปวีดีโอด้านล่างนี้ได้เลย หากต้องการข้ามก็กดเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านในได้เลย

ประวัติ Nissan Teana โดยคร่าวๆ

หากกล่าวถึงประวัติของเจ้ารถเก๋งรุ่นนี้นั้น ในรุ่นที่ผมจับมารีวิว ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่ 3 (3rd Generation) ของนิสสันเทียน่าแล้ว แต่ก่อนอื่น ขอท้าวความประวัติความเป็นมาของเจ้า Nissan Teana กันก่อนสักเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นรถเกรดเดียว หรือระดับเดียวกันกับ โตโยต้าคัมรี่ (Toyota Camry) และ ฮอนด้าแอคคอร์ด (Honda Accord) นั่นเอง แต่เรื่องชื่อชั้น เชื่อเสียงเรียงนามแล้ว มาถึงปัจจุบันทุกวันนี้ต้องยอมรับว่ายังเป็นรองสองค่ายนั้นอยู่ แต่ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ทิ้งห่างอะไรกันไปมากแล้วสำหรับรถทั้งสามค่ายนี้ โดยในส่วนตรงนี้ขอท้ายความกันตั้งแต่รุ่นก่อนเทียน่าเสียอีก นั่นก็ไม่ใช่รุ่นอื่นไกลที่ไหน มันคือเซฟิโร่ นั่นเอง ลองไปทำความรู้จักกับมันสักเล็กน้อยด้านล่างนี้เลย

นิสสันเซฟิโร่ (Nissan Cefiro)

แรกเริ่มเดิมที่ รถยนต์จากค่ายนิสสัน เขาได้ออกรถในระดับดีเซ็กเม้นต์ มาภายใต้ชื่อ นิสสันเซฟิโร่ ซึ่งเจ้ารุ่นที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย มีอยู่ทั้งหมด 3 รุ่นหลักๆ ด้วยกันคือ นิสสันเซฟิโร่ A31 (ค.ศ. 1988 ถึง ค.ศ. 1996) เซฟิโร่ A32 (ค.ศ. 1996 ถึง ค.ศ. 1998) และสุดท้ายของตระกูลคือ เซฟิโร่ A33 (ค.ศ. 1999 ถึง ค.ศ. 2003)
โดยรุ่น A31 ซึ่งเป็นรุ่นแรกของนิสสันเซฟิโร่ ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นรุ่นที่มีตัวถึงสวยงาม คลาสสิก เหมาะแก่การนำไปแต่งรถ นักเล่นรถส่วนใหญ่ทั้งเมืองไทยก็ดี หรือ ต่างประเทศก็ดี นิยมรถรุ่นนี้ นำไปแต่งทำหลังคาซันรูป (มูนรูฟ) เปลี่ยนล้อแม็กซ์ ขอบโตๆ หรือแม้แต่จะไป วางเครื่องข้ามสายพันธุ์อย่างเครื่องเทอร์โบ จากโตโยต้า ในรหัสเครื่อง 1JZ-GTE หรือแม้ต่ 2JZ-GTE ส่วนรุ่นอื่นๆ อย่าง A32 และ A33 ส่วนมากจะใช้กันตามปกติ ไม่ค่อยเห็นนำไปดัดแปลง หรือแต่รถกันมากเท่าไหร่นัก เท่าที่เห็นก็จะมีเอาไปแต่งรถสไตล์วีไอพี (VIP) โหลดเตี้ย ใส่ล้อแม็กซ์โตๆ วาวๆ ล้อแบะออกจากพื้น กันอยู่ให้เห็นบ้าง
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A31
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A31 (รูปภาพจาก Wikipedia)
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A32
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A32 (รูปภาพจาก Wikipedia)
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A33
รูปภาพ Nissan Cefiro รุ่น A33 (รูปภาพจาก Wikipedia)

นิสสันเทียน่า (Nissan Teana)

หลังจากที่เจ้าเซฟิโร่ได้คลอดออกมาแล้วสามรุ่น (รหัสตัวถึง A31 A32 และ A33) ที่กล่าวมาด้านบน ทางนิสสันประเทศไทย ก็หยุดที่จะใช้ชื่อนี้ต่อ แต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่ซึ่งคือ นิสสันเทียน่า (Nissan Teana) แทนไปเลย ซึ่งรหัสตัวถังก็จะเริ่มต้นด้วยตัว J เป็น J31 J32 และล่าสุด L33 (บางที่ก็เรียก J33) เป็นต้น ซึ่งเจ้าเทียน่านี้ก็ยังคงเป็นตลาดรถเกรดเดียวกัน นั่นคือ ดีเซ็กเมนต์ ด้วยขนาดที่ใกล้เคียงกัน แต่บางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา เรียกรถรุ่นนี้ว่า นิสสันอัลติม่า (Nissan Altima) ซึ่งบางทีรูปทรงเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกันเป๊ะๆ แต่เรียกชื่อคนละชื่อกัน ในแต่ละประเทศ
โดยปกติแล้ว หากสังเกตุดูดีๆ นิสัยของรถยนต์จากค่ายนี้เขาจะไม่ค่อยชอบใช้ชื่อรถรุ่นเดียวกันไปในระยะเวลานานๆ เป็นสิบๆ ปี เขามักจะชอบเปลี่ยนชื่อรุ่นไปเลยเสมอ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วอย่างรถระดับคอมแพคอย่างหรือ ซีเซ็กเม้นต์ (C-Segment) อย่าง นิสสันซันนี่ (Nissan Sunny) เปลี่ยนไปเป็น นิสสันทีด้า (Nissan Tiida) และ ล่าสุดคือ นิสสันซิลฟี่ (Nissan Slyphy) เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกับพวกฮอนด้า หรือ โตโยต้า ที่ยังใช้ขื่อเดิมขานเรียกมาตลอดระยะเวลา อย่างเช่น ฮอนด้าซีวิค (Honda Civic) หรือแม้แต่ โตโยต้าโคโรล่า (Toyota Corolla) เป็นต้น
และด้วยความที่บ้านของภรรยาผม มีรถนิสสันเทียน่า ทุกยุค ทุกเจนเนอเรชั่น ดังนั้น ผมได้ลองขับมาหมดแล้ว ขอสรุป ประสบการณ์ของสองรุ่นแรก ให้ฟังสั้นๆ ดังต่อไปนี้
นิสสันเทียน่า J31 (Nissan Teana J31) (ค.ศ.2004 ถึง ค.ศ.2009)
รถรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก ที่เปิดตัวมาในนามชื่อ นิสสันเทียน่า (Nissan Teana) ซึ่งได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีพอสมควร พี่สาวของแฟนผมก็มีรุ่นนี้อยู่เช่นกัน ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2,300cc (2.3 ลิตร) แบบ 6 สูบ (รหัสเครื่องยนต์ VQ23DE) มีแรงม้าให้เล่นกว่า 173 ตัว
รุ่นนี้ถือได้ว่าเป็นรถที่ขับดี นั่งสบาย ภายในกว้างขวาง แต่มีจุดเสียที่โหดมากๆ คือเรื่องของการกินน้ำมัน ที่โหดมากๆ เพราะอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร/ลิตร ในเมือง และยากที่จะถึง 10 กิโลเมตร/ลิตร ขณะขับนอกเมือง
รูปภาพ Nissan Teana รุ่น J31

รูปภาพ Nissan Teana รุ่น J31 (รูปภาพจาก Wikipedia)

นิสสันเทียน่า J32 (Nissan Teana J32) (ค.ศ.2009 ถึง ค.ศ.2013)
รุ่นนี้ ผมถือว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด สำหรับรถนิสสัน ตระกูลดีเซ็กเมนต์ หากนับรวมเซฟิโร่ และ เทียน่า ด้วยเรื่องของที่ รุ่นนี้การประหยัดน้ำมันดีขึ้นกว่าตัวก่อน (J31) และแถมเบาะนั่งที่นิ่มสบายโคตรๆ ทำให้กลายเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับนิสสัน ในระดับดีเซ็กเมนต์ มากที่สุด ตั้งแต่เคยมีมาเลยก็ว่าได้
ด้านเครื่องยนต์ที่เขาเสนอมาให้ เป็นสองทางเลือก สำหรับลูกค้า คือเครื่องยนต์ระดับ
  1. รหัสเครื่องยนต์ MR20DE ความจุ 2,000 cc (2.0 ลิตร 4 สูบ) (138 แรงม้า) อยู่ในรุ่น 200XL ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้ใช้กับรถหลายๆ รุ่นของนิสสันมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Nissan X-Trail หรือ Nissan Blubird Slyphy และอื่นๆ อีกมากมาย
  2. รหัสเครื่องยนต์ VQ25DE ความจุ 2,500 cc (2.5 ลิตร 6 สูบ) (186 แรงม้า) อยู่ในรุ่น 250XV
อัตราการกินน้ำมันสามารถทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่น J31 ที่ผ่านมา อัตราการบริโภคหากขับในเมืองอยู่ที่ประมาณ 7-8 กิโลเมตร/ลิตร ต่างจังหวัดขับแบบปกติประมาณ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็อยู่ที่ประมาณ 10-12 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่าปกติสำหรับรถใหญ่ ขนาดนี้ โดยตัวที่ผมได้มาขับนั้น คือตัว 250XV แต่สำหรับ อัตราการบริโภคน้ำมันของ ตัว 200XL ผมจึงไม่ทราบ ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

รูปภาพ Nissan Teana รุ่น J32

รูปภาพ Nissan Teana รุ่น J32 (รูปภาพจาก Wikipedia)

นิสสันเทียน่า 2014 (Nissan Teana 2014) รุ่น L33 ความสปอร์ต สุนทรีย์ ที่ลงตัว

Nissan-Teana L33 and Nissan Teana J32

ภาพคู่นิสสันเทียน่า 2 รุ่น ระหว่าง นิสสันเทียน่า J32 (คันซ้ายมือ) และ L33 (คันขวามือ) ดูแล้วไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก

หลังจากที่จั่วหัวมาเสียยืดยาว ก็ได้มาเข้าเรื่องกันเสียที กับ รีวิวรถนิสสันเทียน่า (Nissan Teana) 2014 รุ่นรหัสตัวถังที่ขายในบ้านเราคือ L33 นั่นเอง (ซึ่งบางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หรือ ญี่ปุ่น จะเรียกรถรุ่นนี้ว่า นิสสันอัลติม่า – Nissan Altima) หน้าตารถระหว่าง 2 รุ่น (J32 กับ L33) ก็เหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออก หากคนที่ไม่ได้เป็นคนช่างสังเกตุ อย่างเช่นภรรยาผม ก็ยังมีแยกผิดให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
โดยการเปิดตัวในครั้งนี้ ทางค่าย นิสสัน มอเตอร์ ไทยแลนด์ ก็นำเสนอรุ่นออกมา 2 รุ่นหลักๆ เช่นเดียวกับรุ่น J32 ที่ได้กล่าวมาด้านบน นั่นคือมีตัวเครื่อง 2,000 cc (2.0 ลิตร) และ 2,500 cc (2.5 ลิตร) เพื่อให้มาตอบสนองความต้องการของคนในหลายๆ กลุ่มหลายประเภท แต่ครั้งนี้ลดจำนวนสูบของเครื่อง 2.5 ลิตร มาเป็น 4 สูบให้เท่ากับเครื่อง 2.0 ลิตร
จากการตรวจสอบรหัสเครื่องยนต์ ที่มากับ คู่มือผู้ใช้รถ แล้วนั้นพบว่า เครื่องยนต์ ที่ติดตั้งมาให้กับรถรุ่นนี้ มี 2 รุ่นเช่นเคย โดยรายละเอียดดังต่อไปนี้
  1. รหัสเครื่องยนต์ MR20DE ความจุ 2,000 cc (2.0 ลิตร 4 สูบ) (136 แรงม้า) (เป็นเครื่องรุ่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว J32)
  2. รหัสเครื่องยนต์ QR25DE ความจุ 2,500 cc (2.5 ลิตร 4 สูบ) (173 แรงม้า) อยู่ในรุ่น 2.5XV และ 2.5XV Navi (ตัวนี้ไม่เหมือนกันกับรุ่นที่แล้ว เพราะมีการลดจำนวน กระบอกสูบลงจาก 6 สูบ เหลือ 4 สูบ)
หลังจากที่ค่อนข้างเข็ดหลาบ กับอัตราการบริโภคน้ำมันที่ค่อนข้างสูงมากๆ แต่ก็ยังชอบรถ นิสสันเทียน่า อยู่ จึงได้มีความคิดที่จะซื้อคันใหม่มาใช้ ก็รอ ร๊อ รอ เมื่อไหร่มันจะออกมาสักที จนในที่สุด มันก็ออกตัว เมเจอร์เช้นจ์ (Major Change) หรือว่าการเปลี่ยนรุ่น รูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด มาจนได้ ในช่วงปลายเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013)
หลังจากนั้นพอทราบข่าวว่าออกตัวใหม่ จึงได้รีบไปติดต่อเซลล์ หรือ ตัวแทนขายรถที่รู้จักกันโดยพลัน (เพื่อรักษาภาพของการรีวิวที่เป็นกลาง จึงขอสงวนชื่อตัวแทนขายรถเอาไว้) ซึ่งครั้งนี้ผมและภรรยาตัดสินใจเลือกตัว 2.0XL เพื่อเน้นความประหยัด เพราะว่าใช้งานต่อวันก็อยู่ที่ประมาณ ไป-กลับ ที่ทำงาน 40 กิโลเมตร และก็ไม่ได้ต้องการขับเร็ว หรือซิ่งอะไรมากมาย (แก่แล้ว ว่างั้น)
โดยก่อนที่เจ้ารุ่นนี้จะออกมาที่เมืองไทย ปกติแล้วทางนิสสัน เขามักจะเปิดตัวรถรุ่นนี้ในต่างประเทศมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปิดตัวในประเทศใกล้ๆ เรา เพื่อนบ้านเราอย่าง จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อะไรแบบนี้เป็นต้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมประเทศไทย ต้องเป็นประเทศท้ายๆ ที่ได้รับการเปิดตัว ทั้งๆ ที่ประเทศเราก็เป็นฐานใหญ่ในการผลิต

รุ่น Nissan Teana L33 (ปี ค.ศ.2014 – 2016)

Nissan Teana L33 Panorama (นิสสันเทียน่า L33 ภาพมุมกว้าง พาโนราม่า)

ภาพมุมกว้าง พาโนราม่า ให้เห็นทั้งคัน ของ นิสสันเทียน่า L33 (2014)

ในรถนิสสันเทียน่า รุ่น L33 นั้น มีปล่อยออกมาทำตลาด (ขาย) สู่ท้องตลาด ทั้งหมด 5 รุ่นหลักๆ ด้วยกัน ซึ่งก็ถือว่าปกติ และออปชั่นต่างๆ ที่ให้มาก็ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกๆ คน แต่ที่ประทับใจคือ ทางนิสสัน ได้ให้ออปชั่นเทพๆ มาตั้งแต่รุ่นรองสุดท้ายเลยทีเดียว ส่วนราคาที่ถือว่าเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
  1. 2.0XE (รุ่นล่างสุด ถูกสุด ตัดออปชั่น ลูกเล่นต่างๆ ออกไปเยอะ)
  2. 2.0XL <- รุ่นที่ใช้ทดสอบ ถ่ายรูป คือรุ่นนี้
  3. 2.0XL Navi (ออปชั่นทุกอย่างเหมือนกับ 2.0XL แต่มีระบบนำทางอัจฉริยะ GPS)
  4. 2.5XV
  5. 2.5XV Navi (ออปชั่นทุกอย่างเหมือนกับ 2.0XL แต่มีระบบนำทางอัจฉริยะ GPS)

Nissan Teana L33 หรือ J33 กันแน่ ?

ก่อนจะไปกันต่อ ขอเบรคเรื่อของความรู้เสริมนิดนึง เกี่ยวกับเรื่องของ รหัสตัวถังประจำรุ่นของรถ คิดว่าคงจะมีหลายคนที่สงสัยว่า เจ้ารถรุ่นนี้สรุปแล้วเรียกรหัสตัวถังว่าอะไรกันแน่ ระหว่าง J33 และ L33 สรุปแล้วคือ เราเรียกรุ่นนี้ที่ขายในประเทศไทยนี้ว่า Nissan Teana L33 (ย้ำว่าเป็น L33) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วย ตัวถังเดียวกันเลย ตอนแรกก็หาข้อมูลอยู่นานว่าสรุปเรียกว่าอะไรกันแน่ เพราะเอาคีย์เวิร์ดคำว่า “Nissan Teana J33” ไปหาในกูเกิลดูก็พบ เอาคำว่า “Nissan Teana L33” ดูก็พบเช่นกัน
แต่สรุปสุดท้ายคือ ปริศนามาถูกไขกระจ่างจาก หนังสือคู่มือผู้ใช้รถ นั่นเอง ซึ่งหากใครที่ได้รับชมคลิปวีดีโอที่ผมอัดรีวิว ตัวผมเองยังอ่านเป็น J33 มาอยู่เลย ซึ่งต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน


Nissan Teana L33 Driver Manual (คู่มือผู้ใช้รถ นิสสันเทียน่า L33)

ชัดเจน ! คู่มือผู้ใช้รถ ระบุไว้ว่า Nissan รุ่นนี้คือ รหัสตัวถัง L33 อย่างแน่นอน (ไม่ใช่ J33)

โฆษณา Nissan Teana 2014

โดยก่อนที่จะซื้อรถ ก็ได้มาการนั่งหาข้อมูลประกอบเกี่ยวกับรถรุ่นนี้ เพิ่มเติมอยู่พอสมควร (แต่เอาจริงๆ ใจมันเอนเอียงมาตัวนี้แล้วละ) ซึ่งก็ได้ข่าวแว่วๆ และก็หาข้อมูลประกอบถึงจุดเด่นของมันอยู่ได้ประมาณนี้
  1. รถใหม่นี้ ประหยัดน้ำมัน โคตรๆ หากขับดีๆ สามารถทำได้เกิน 15 กิโลเมตร/ลิตร
  2. จัดเซ็นเซอร์ ฟีเจอร์ ต่างๆ จัดเต็มมาให้เพียบ ถ้าเทียบกับรถคู่แข่งระดับเดียวกันที่จะมีในแต่เฉพาะตัวท็อป (หรือไม่มีเลย) ซึ่งนิสสัน ไม่ใช่แค่ให้มาในตัวท็อป แต่ตัวระดับรุ่นกลางๆ ก็ให้มาแล้ว ฟีเจอร์พวกนี้
  3. เบาะนั่ง ถูกออกแบบโดยใช้หลักการ สภาวะไร้น้ำหนักของมนุษย์อวกาศ ซึ่งเป็นสภาวะ ที่ร่างกายของคนเราจะอยู่ในท่าทาง หรืออิริยาบถ ที่ผ่อนคลายมากที่สุด รองรับแรงกระแทก กระดูกสันหลัง ลดการเมื่อยล้าย ในเวลาขับทางไกล ซึ่ง ผมและภรรยาประทับใจกับเบาะนั่งในรุ่นก่อนหน้านี้ (รุ่น J32) มาอยู่แล้ว จากที่กล่าวมาด้านบนว่านิ่ม และ นั่งสบายโคตรๆ มารุ่นนี้มันจะเทพขนาดไหน ชักอยากไปลองนั่งซะแล้ว


ที่มา : www.thanop.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เจาะสเป็ค Nissan Almera 6 รุ่น แตกต่างกันอย่างไร





Nissan Almera มีตั้ง 6 รุ่น รุ่นไหนดีละ?

เป็นคำถามยอดฮิตเลยครับสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจ Almera ว่า รุ่นไหน ที่จะคุ้มค่ามากที่สุด?

สำหรับราคารถ และส่วนลดเงินอุดหนุนสำหรับรถคันแรก ดูได้ที่ราคารถ NISSAN ALMERA และส่วนลดเงินอุดหนุนสำหรับรถคันแรกเลยครับ

Nissan Almera มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 รุ่น 6 สีครับ

1. S MT มี 3 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว
2. E MT มี 6 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว , แดง , น้ำเงิน , น้ำตาลเทา
3. E CVT มี 6 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว , แดง , น้ำเงิน , น้ำตาลเทา
4. ES CVT มี 6 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว , แดง , น้ำเงิน , น้ำตาลเทา
5. V CVT มี 6 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว , แดง , น้ำเงิน , น้ำตาลเทา
6. VL CVT มี 6 สี คือ เงิน , ดำ , ขาว , แดง , น้ำเงิน , น้ำตาลเทา

ซึ่งเพื่อน ๆ ที่ดูสเปครถเป็น สามารถดูความแตกต่างได้ที่โบรชัวร์นะครับ โดยเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ โบรชัวร์ , อุปกรณ์มาตรฐาน และข้อมูลทางเทคนิค NISSAN ALMERA

แต่ถ้าเพื่อน ๆ ที่ดูไม่เป็น และงงงวยกับตัวอักษรภาษาอังกฤษว่ามันคืออะไรนั้น ตามผมมาเลยครับ

———————–

แยกเกียร์กันก่อน

เพื่อน ๆ สังเกตเห็นตัวอักษรด้านท้ายของแต่ละรุ่นไหมครับ ที่เขียนว่า MT กับ CVT

นี่แหล่ะ คือ การระบุเกียร์อย่างชัดเจน ว่ารุ่นไหน ใช้เกียร์อะไร

MT ย่อมาจาก Manual Transmission หรือแปลง่าย ๆ ว่า “เกียร์ธรรมดา” บ้างก็เรียกว่า “เกียร์กระปุก”

ส่วน CVT ย่อมาจาก Continuously Variable Transmission หรือที่เข้าใจง่าย ๆ ว่า “เกียร์ออโต้”

แต่จริง ๆ แล้ว เกียร์ CVT กับ เกียร์ออโตนั้น มีความแตกต่างกันนะครับ อย่างเกียร์ออโต้ทั่ว ๆ ไป จะเหมือนเกียร์ธรรมดา ตรงที่มีตำแหน่งเกียร์ชัดเจน เช่น เกียร์ 1 / เกียร์ 2 / เกียร์ 3

แต่เกียร์ CVT มัน ไม่มีตำแหน่งเกียร์ระบุครับ นั่นหมายถึง อิสระในการใช้เกียร์จริง ๆ ไม่ต้องถูกบังคับให้อยู่ในกรอบ






และในเมื่อเกียร์ CVT ไม่มีตำแหน่งตายตัว การเปลี่ยนเกียร์จึงนุ่ม จนไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนเกียร์ เหมือนในเกียร์ออโต้ทั่ว ๆ ไปครับ

แต่รายละเอียดของเกียร์ CVT เดี๋ยวผมจะมาเจาะลึกอีกทีในตอนต่อ ๆ ไปนะครับ ตอนนี้เรามาต่อเรื่องรุ่นกันก่อน

 

เมื่อแยกเกียร์ได้แล้ว ก็จะพบว่า

เกียร์ธรรมดา
1. S MT
2. E MT

เกียร์ CVT 
1. E CVT
2. ES CVT
3. V CVT
4. VL CVT

นั่นเท่ากับว่า เกียร์ธรรมดามีให้เลือกแค่ 2 รุ่นเท่านั้น คือ S MT กับ E MT

ซึ่ง S เป็นรุ่นที่เรียกว่า “รุ่นพื้นฐาน” ตัดความสะดวกสบายออกไปทั้งหมด เรียกว่าถ้า ตัดแอร์ออกไป แล้วใส่โรลบาร์ ก็คือ รถแข่งดี ๆ นั่นเอง 55555+

ซึ่งส่วนใหญ่ เพื่อน ๆ ที่ชอบขับรถเกียร์ธรรมดา จะมีตัวเลือกแค่ตัวเดียว คือ E MT เท่านั้น

และผมจะบอกว่า E MT กับ E CVT ทุกอย่างเหมือนกันหมด ยกเว้น“ระบบเกียร์” เท่านั้นเอง

 

ส่วนเกียร์ CVT มีมากมายถึง 4 รุ่น ให้เลือกสรร ตามงบประมาณและความสะดวกสบาย รวมถึงความปลอดภัย

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาดูความแตกต่างแบบ“คร่าว ๆ” กันเลยดีกว่าครับ ว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร?

 

เริ่มที่ด้านหน้าครับ

สำหรับด้านหน้า รุ่น S MT จะพิเศษกว่าเพื่อนตรงที่ ขอบกระจังหน้ารูปคางหมูจะเป็นสีดำครับ และกระจกมองข้างจะเป็นสีดำด้าน






(สำหรับรูป S MT ผมขอยืมรูปรถคุณ obetwo สมาชิก Thai Almera Club มาประกอบนะครับ เนื่องจากผมไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปรุ่น S MT ด้วยตัวเองครับ)

 

ส่วนรุ่น E MT , E CVT , ES CVT , V CVT จะเหมือนกันหมด คือ ขอบกระจังหน้ารูปคางหมูอู๊ด ๆ นั้น จะเป็นสีโครเมียม และกระจกมองข้างจะเป็นสีเดียวกับตัวรถครับ





ส่วนรุ่น VL CVT จริง ๆ ก็เหมือนกับรุ่น E MT – V CVT นั่นแหล่ะครับ แต่เพิ่มความพิเศษตรง”ไฟตัดหมอก” เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานมาให้เลย






จากด้านหน้ามาดูด้านข้างกันครับ

สำหรับรุ่น S MT ผมไม่มีภาพประกอบนะครับ แต่ถ้าเพื่อน ๆ ได้เห็น จะสังเกตได้ง่าย ๆ เลย ตรงมือจับเปิดประตูทั้งหมดและกระจกมองข้างเป็นสีดำด้านครับ

 

ส่วนรุ่น E MT , E CVT และ ES CVT จะเหมือนกันเลยแบบนี้





นั่นคือ
1. เสากลางระหว่างประตูหน้าและประตูหลังเป็นสีเดียวกับตัวรถ





2. มือจับเปิดประตูเป็นโครเมียมทุกอัน





3. ล้อกะทะขนาด 14 นิ้ว แบบมีฝาครอบ (ลายคล้ายล้ออัลลอยมาก) พร้อมยาง Bridgestone รุ่น B250 ขนาด 175/70R14





คราวนี้มาดูรุ่น V CVT กับ VL CVT กันบ้าง






จะพบว่า แม้มีมือจับเปิดประตูโครเมียมเหมือนรุ่น E MT – ES CVT ก็ตาม แต่พบความแตกต่างอยู่ 3 จุด

1. ที่มือจับประตูเฉพาะประตูหน้าของรุ่น VL CVT จะมีปุ่มยางสีดำอยู่ สำหรับการใช้ปลดล็อครถด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ (รายละเอียดการใช้งาน จะอธิบายให้ทราบในรีวิวตอนต่อ ๆ ไป)





ส่วนรุ่น V CVT จะไม่มีปุ่มยางนะครับ เป็นมือจับโครเมียมเฉย ๆ

 

2. เสากลางของทั้ง 2 รุ่นเป็นสีดำ (ติด sticker อย่างดีเพิ่มเติม)





3. ล้ออัลลอยหรือที่เรียกติดปากว่า”ล้อแม็ค” ขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone รุ่น B250 ขนาด 185/65R15






จากด้านข้าง เราเดินไปดูด้านหลังกันต่อเลยครับ





ด้านหลัง จะพบสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่พร้อมไฟเบรค ซึ่งนิสสันจัดเต็มให้ทุกรุ่นเลยครับ





ผมได้ยินหลายท่านแอบบ่นว่าไม่ชอบสปอยเลอร์ท้ายทรงนี้สักเท่าไหร่ บางคนว่าเหมือนตูดเป็ด!!

เอ้า ๆ อย่าเพิ่งไป“เซ็งเป็ด”กันเลยครับ ผมจะบอกอะไรให้ว่า สปอยเลอร์ท้ายตัวนี้เนี่ย มีผลต่อการขับขี่ Almera ด้วยความเร็วสูง รวมถึงอัตราการกินน้ำมันเลยนะครับ







ซึ่งเจ้าสปอยเลอร์ตัวนี้ช่วยในด้านอากาศพลศาสตร์เป็นอย่างดี อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ งงละสิครับ พูดง่าย ๆ สปอยเลอร์นี้ช่วยให้รถลู่ลม มากกว่าต้านลมนั่นแหล่ะครับ

แถมเจ้า Almera นี่ยังมีตัวเลขการลู่ลม / ต้านลมเทียบเท่ากับรถสปอร์ตรุ่นพี่ในค่ายอย่าง Nissan 370Z Fairlady เลยน้า ถือว่าเยี่ยมยอดเลยทีเดียวครับ





จากสปอยเลอร์หลัง เพื่อน ๆ สังเกตไหม ว่า E MT กับ E CVT เนี่ย เราเดินดูตั้งแต่ด้านหน้าและด้านข้างแล้ว ก็ยังแยกไม่ออกว่า “มันต่างกันตรงไหน?”

ผมก็จะบอกเพื่อน ๆ ให้ว่า มันต่างกันตรงนี้ครับ






เจ้าโลโก้ตัวนี้จะติดอยู่มุมล่างขวาของฝากระโปรงรถ บ่งบอกว่า รถของเพื่อน ๆ คือ “เกียร์อะไร?” นั่นเอง

ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ เห็น Almera คันไหน เป็นแบบรูปข้างบนนี้ ที่เขียนว่า “Pure Drive” นั่นคือ รถคันนี้เป็นเกียร์ธรรมดาครับ

 

แต่ถ้ารถเพื่อน ๆ เป็นรุ่น “เกียร์มัว” หรือกลัวเมีย อันนี้ Almera แยกให้ไม่ได้นะคร้าบบบ 55555+

 

ส่วนโลโก้แบบข้างล่างนี้ จะระบุให้เราทราบว่า คันนั้นคือ เกียร์ CVT หรือ เกียร์ออโต้นั่นเอง





ซึ่งตระกูล CVT อันประกอบไปด้วย E ES V VL ก็จะมีโลโก้นี้ติดอยู่เหมือนกันหมด

จุดนี้แหล่ะครับ ทำให้เราแยก E MT กับ E CVT ได้ ถ้าดูเฉพาะภายนอก

 

สำหรับข้างหลัง ยังมีอีกจุดหนึ่งที่แตกต่าง และเป็นเอกสิทธิพิเศษสำหรับรุ่น Top ที่มีนามว่า VL CVT

ซึ่งถ้ามองก้นงาม ๆ ของเค้า เราจะไม่เห็นความแตกต่างครับ





แต่ถ้าเอามือมาจับใต้โลโก้ Nissan แล้ว เพื่อน ๆ จะพบว่ารุ่น VL CVT จะมีปุ่มยาว ๆ ให้กดครับ





ปุ่มนี้คือ ปุ่มกดเปิดฝากระโปรงหลังนั่นเองครับ





แต่ปุ่มนี้ ใครเดินซี้ซั้วมากดไม่ได้นะครับ ถ้าไม่มีกุญแจอัจฉริยะติดตัว





สำหรับรายละเอียดการใช้งานจริงก็จะมาอธิบายเจาะลึกกันอีกทีในรีวิวถัด ๆ ไปครับ

ซึ่งความแตกต่างภายนอกก็มีเพียงเท่านี้ครับ ใช้ดูกันแบบ”คร่าว ๆ” ได้เลย

———————–

ทีนี้ เรามาดูภายในกันดีกว่าครับ ว่าแตกต่างกันตรงไหนบ้าง






แต่ก่อนอื่น ต้องเอากุญแจมาเปิดรถก่อน






แว๊กกก ขนาดกุญแจยังแตกต่างกันเลย!!!

 

กุญแจธรรมดา ๆ นี้เป็นของรุ่น S MT , E MT , E CVT และ ES CVT ครับ






ส่วนกุญแจรีโมทดอกนี้เป็นของ V CVT แต่เพียงผู้เดียวครับ






และสุดท้ายก็คือ กุญแจอัจฉริยะ ที่วัน ๆ แทบไม่ต้องหยิบขึ้นมาดูหน้าค่าตากันเลย เอกสิทธิ์สำหรับ VL CVT นั่นเองครับ






ไขกุญแจเข้าไปดูแผงประตูก่อน ภาพนี้คือแผงประตูของรุ่น E MT , E CVT และ ES CVT ครับ





ส่วน S MT ผมไม่มีภาพมาฝาก แต่ดูง่าย ๆ เลย เพราะ S MT จะไม่มีปุ่มระบบไฟฟ้าเลยครับ เพราะกระจกใช้หมุนเอาเหมือนรถสมัยก่อน

 

 

ส่วนแผงประตูของรุ่น V CVT และ VL CVT นั้น เพิ่มความแตกต่างขึ้นอย่างชัดเจน ตามภาพครับ






นอกจากลายบุแผงประตูและขอบสีเงินที่แตกต่างแล้ว ยังมีที่เปิดประตูภายในเป็นสีโครเมียม เพิ่มความหรูหราอีกต่างหาก





ก่อนจะขึ้นไปลองนั่งหาความแตกต่างภายใน ผมก้มลงดูที่เบาะรองนั่งคนขับ ก็พบภาพนี้ครับ






ก้านซ้ายสุดคือที่ปรับเอนหลังครับ ส่วนก้านยาว ๆ ด้านขวาเอาไว้ปรับความสูง-ต่ำของเบาะนั่งด้านคนขับ

ซึ่ง E MT – VL CVT จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดนะครับ

 

ส่วนรุ่น S MT ไม่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้นะครับ เป็นรุ่นเดียวของ Almera ที่ไม่มีก้านยาว ๆ ด้านขวามือเหมือนชาวบ้านครับ

 

จากนั้นผมก็ขึ้นนั่งบนเบาะด้านคนขับ สำรวจความแตกต่างต่อ ซึ่งตัวเบาะและลายผ้าของรุ่น E MT – VL CVT จะเหมือนกันหมดนะครับ ยกเว้นรุ่น S MT จะแตกต่างออกไป






เริ่มที่พวงมาลัย สำหรับพวงมาลัยยูรีเทนมีถุงลมนิรภัยที่เห็นด้านล่างนี้ คือ พวงมาลัยตั้งแต่รุ่น S MT , E MT , E CVT และ ES CVT ครับ






ส่วนพวงมาลัยยูรีเทนมีถุงลมนิรภัย ที่ถูกตกแต่งแถบสีเงิน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงด้านซ้ายมือ มีให้เฉพาะรุ่น V CVT และ VL CVT ครับ






ถ้าเพื่อน ๆ ที่ขับรุ่น S MT – ES CVT แต่อยากได้ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงด้วย ต้องเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่ให้เป็นพวงมาลัยรุ่น V CVT และ VL CVT นะครับ ถึงจะติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงได้ครับ เพราะพวงมาลัยเดิมไม่สามารถติดตั้งได้นั่นเอง

 

มองทะลุพวงมาลัยไป เราจะพบเรือนไมล์แบบนี้ ซึ่งเป็นของ S MT , E MT , E CVT และ ES CVT ครับ






แต่เมื่อเปิดประตูมาดูรุ่น V CVT และ VL CVT ผมจะพบกับเรือนไมล์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ เรือนไมล์แบบเรืองแสง






สำหรับการรีวิวเรือนไมล์ทั้ง 2 แบบอย่างละเอียด ขอให้ติดตามจากรีวิวตอนถัด ๆ ไปนะครับ

 

จากนั้นเอี้ยวตัวมาทางขวา จะพบกับก้านยาว ๆ ที่ติดกับพวงมาลัย





จากรูปข้างบนเป็นก้านของ S MT , E MT , E CVT , ES CVT และ V CVT ครับ ซึ่งใช้สำหรับเปิดไฟเลี้ยว / เปิดไฟหรี่ / เปิดไฟหน้า / เปิดไฟสูง

 

ส่วนรูปด้านล่าง เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ VL CVT อีกแล้วครับท่าน เพราะนอกจากจะเปิดไฟได้เหมือนรุ่นอื่น ๆ แล้ว ยังเพิ่มในส่วนของไฟตัดหมอก มาให้หมุนเปิด-ปิดตรงกลางของก้านอีกด้วย






จากนั้น เอี้ยวตัวไปทางขวาอีกเล็กน้อย ก็จะเจอภาพนี้ที่คอนโซลด้านขวาสุด






ที่เห็นในภาพคือ ปุ่มปรับกระจกมองข้างไฟฟ้า ซึ่งมีในรุ่น E MT และ E CVT เท่านั้น

แต่ถ้าก้มลงไปข้างล่างอีกนิดจะเห็นปุ่ม “Auto off” ปุ่มนี้คือ ปุ่มสั่งปิดระบบ Idle stop ซึ่งจะมีในทุกรุ่นที่เป็นเกียร์ CVT ตั้งแต่ E CVT – VL CVT

 

ดังนั้น ถ้ารุ่นไหนมีปุ่มปรับกระจกไฟฟ้าแบบนี้ แต่ไม่มีปุ่ม Auto off คันนั้นคือ E MT แน่นอน เพราะ Nissan Almera เกียร์ธรรมดา ไม่มีระบบ Idle Stop ครับ

แต่ถ้าคันนั้นมีปุ่ม Auto off คันนั้นก็จะกลายเป็น E CVT นั่นเอง

 

แต่ถ้าเพื่อน ๆ เปิดรถคันไหนแล้วเห็นแบบนี้



ก็จะมีเพียง 3 รุ่นเท่านั้น นั่นคือ ES CVT , V CVT และ VL CVT

เพราะปุ่มที่เพิ่มมา คือ ปุ่มพับกระจกมองข้างครับ

 

ด้านขวาหมดแล้ว ย้ายมาดูด้านซ้ายของพวงมาลัย ก็จะเจอก้านแบบนี้ครับ





นี่คือ ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าสำหรับรุ่น S MT , E MT , E CVT , ES CVT และ V CVT ครับ

 

ส่วน VL CVT ได้เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวในตองอูไปครอบครองอีกแล้ว เพราะจะกลายเป็นแบบนี้






เอ๊ะ แล้วมันมีอะไรเพิ่มขึ้นมาน้า? ถ้าอยากรู้ รบกวนเข้าไปดูที่ วิธีใช้ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และแบบตั้งเวลาหน่วงใน NISSAN ALMERAได้เลยครับ เพราะผมเขียนรีวิวข้อแตกต่าง และวิธีใช้งานให้เรียบร้อยแล้ว

 

เอี้ยวตัวมาทางซ้ายอีกนิด จะพบกับภาพนี้ครับ




จะเห็นปุ่มกลม ๆ ว่างอยู่ ไม่มีอะไรให้กด ซึ่งจะเหมือนกันหมดตั้งแต่รุ่น S MT , E MT , E CVT , ES CVT และ V CVT ครับ

 

ส่วน VL CVT ก็ได้ร้องเพลง“หนึ่งเดียวคนนี้” ของพี่ปุ๊ อัญชลีไปตามระเบียบ เพราะตรงกลม ๆ นี้คือ ตำแหน่งของปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ครับ






จากนั้นเราย้ายสายตามาตรงกลางคอนโซลกันบ้างครับ



ในภาพด้านบนนี้ จะเป็นรุ่น E MT และ E CVT ครับ จะได้แอร์เป็นมือบิดธรรมดาครับ

ส่วนรุ่น S MT ก็จะเหมือนในภาพ แต่ตัดวิทยุออกไปครับ มีแต่แอร์มือบิดเพียว ๆ เลย

 

แต่ถ้าเปิดประตูมาเจอรูปนี้






ก็จะเป็นรุ่น ES CVT , V CVT และ VL CVT ครับ ที่ได้แอร์ออโตทรงกลมสีเงินเหมือนใน Nissan March มาใช้

 

ถัดจากแอร์ ก้มลงมาก็จะเจอคันเกียร์แบบนี้ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นของ S MT และ E MT อย่างแน่นอน






แต่ถ้าเจอเกียร์แบบนี้ นั่นก็คือ E CVT และ ES CVT ครับ






ส่วน V CVT และ VL CVT เลือกที่จะแตกต่างออกไปในสไตล์รถราคาแพง(ขึ้น) ด้วยการประดับสีเงินที่คันเกียร์แบบนี้ครับ






จากเกียร์ผมกลับมามองเพดานด้านคนขับ เห็นที่บังแดด เลยดึงออกมาดู






โห ไม่มีกระจกส่องหน้าเลยอ่ะ แบบนี้จะสำรวจความหล่อได้ไงละเนี่ย!!

ซึ่งที่บังแดด(จริง ๆ) แบบนี้จะมีตั้งแต่ S MT – V CVT เลยนะครับ

 

ยกเว้น VL CVT คันเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระจกไว้เช็คความหล่อหรือความสวยของคนขับก่อนลงไปพบปะผู้คน







สำหรับภายในของเจ้า Almera ก็หมดแล้วครับ สำหรับการหาข้อแตกต่างในแต่ละรุ่น ผมก็เลยก้มตัวลง เอามือขวาไปดึงสลักขึ้นเพื่อเปิดฝากระโปรงหลัง





ฝากระโปรงหลังก็จะเด้งขึ้นมาประมาณนี้






สำหรับรุ่น S MT , E MT , E CVT และ ES CVT ผมพบภาพแบบนี้เหมือนกันเด๊ะ






แต่ในรุ่น V CVT และ VL CVT ผมกลับพบว่ามีการหุ้มผ้าเพิ่มขึ้น ทำให้ดูดีขึ้นอย่างชัดเจน






ซึ่งการหุ้มผ้าแบบนี้ ก็จะเหมือนในรุ่นพี่ Teana เพียงแต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ของรุ่นพี่ Teana จะดูดีกว่าตามประสารถหรู





และเมื่อก้มลงดูห้องสัมภาระของรุ่น S MT – V CVT ก็จะเป็นแบบนี้ ซึ่งข้อเสียคือ เมื่อเปิดตอนกลางคืนจะหาอะไรไม่เจอเลย เพราะมืดสนิท







แต่ในรุ่น VL CVT จะแตกต่าง เพราะมีไฟติดมาให้ด้วย






ทำให้การเปิดหาของในยามค่ำคืนนั้น สบาย ๆ






ลองเปิดของพี่ Teana ดู จะเห็นว่ามีไฟเหมือนกัน แต่การจัดวางของพี่ใหญ่ก็ดูดีกว่าตามราคานั่นเอง






ก็คงหมดเพียงเท่านี้แหล่ะครับ สำหรับความแตกต่างทั้งภายนอกและภายในของ Nissan Almera ซึ่งรายละเอียดการใช้งานในแต่ละจุด ผมก็คงขอยกยอดไปไว้ในตอนต่อ ๆ ไปแล้วกันนะครับ

———————————

ส่วนความแตกต่างด้านความปลอดภัยที่อาจจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ก็จะมีเพิ่มดังนี้

ถุงลมนิรภัยเฉพาะคนขับ – S MT , E MT , E CVT , ES CVT
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า – V CVT , VL CVT

ส่วนระบบเบรค ABS , EBD , BA จะมีเฉพาะ ES CVT , V CVT และ VL CVT ครับ

———————————–

สำหรับตอนหน้า ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปเรียนรู้การใช้งาน function ในแต่ละจุดเพื่อให้รู้ว่า รถคันนี้จ่ายเงินไป เราทำอะไรได้บ้าง? ก่อนที่จะพาขึ้นรถ Almera เพื่อไปดูว่าการขับขี่เจ้า Eco Car คันใหญ่นั้น จะเป็นอย่างไร? จะอืดหรือไม่? วิ่งทางไกลได้หรือเปล่า? ก็ขอให้ติดตามต่อไปนะครับ

 

ว่าแต่ว่า เพื่อน ๆ อยากนั่งคันไหนก่อนครับ? ระหว่างเกียร์ธรรมดาตัว Top อย่าง E MT หรือ เกียร์ CVT ตัว Top อย่าง VL CVT

ลองเสนอความเห็นกันได้เลยนะครับ ถ้าเพื่อน ๆ อยากนั่งคันไหนก่อน ผมก็จะจัดให้ตามคำเรียกร้องครับ


ที่มา : www.thainissan.com/webboard/index.php?topic=9.0

สนใจโฆษณา 090-361-4405 คุณวี


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook