"ตร.เข้ม! จับจริงผู้ใช้ไฟซีนอน "ผิดกฎหมาย" สร้างความเดือดร้อน เกิดอุบัติเหตุบ่อย"


"เสียงสะท้อนของผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนของผู้ที่ติดตั้งไฟส่องสว่างจ้ากว่าปกติ หรือที่เรียกว่าไฟซีนอน ที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขณะขับรถสวนทางมาหรือขับตามหลัง ทำให้สายตาพร่ามัว ตำรวจจราจรเตรียมตรวจเข้มผู้ขับขี่ที่ติดตั้งไฟส่องสว่างหน้ารถผิดกฎหมาย


"พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผบก.จร. กล่าวว่า ผู้ที่ติดตั้งไฟส่องสว่างจ้ากว่าปกติหรือ ที่เรียกไฟซีนอนเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นหลอดไฟที่วิวัฒนาการมาจากหลอดไฮโดรเจน แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะเห็นว่าเป็นโคมและมีหลอดไฟในลักษณะแหลมตรงกลาง ถ้าเป็นอดีตจะเป็นไฟสีเหลือง หลังจากที่เป็นโคมไฮโดรเจนความสว่างไม่เพียงพอ จึงมีการพัฒนาหลอดส่องสว่างเข้ามาใหม่ หรือที่เรียกว่าหลอดซีนอน ซึ่งต้องมีบาลาสต์ที่มีความเข้มของแสงมากกว่าไฮโดรเจนถึง 2 เท่า ในช่วงหนึ่งมีบางคนต้องการให้ไฟหน้ารถตัวเองสว่างจึงไปซื้อหลอดซีนอนมาใส่ในโคมไฮโดรเจน ปัญหาคือโคมไม่ได้ออกแบบมาทำให้เวลาผู้ใช้รถใช้ถนนสวนทางมาจะส่องกระทบหน้าและเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นความผิดตามพ.ร.บ.รถยนต์ ม.12 อัตราโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท ซึ่งตำรวจได้เข้มงวดกวดขันจับกุมอยู่ โดยเป็นการตั้งด่านตรวจจับผู้กระทำผิดกฎจราจร"

"แต่ถ้าเป็นหลอดซีนอนจะมีโคมไฟรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาแพงจะเป็นไฟกลมๆ จะมี 2 แบบคือติดตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งกรมการขนส่งทางบกอนุญาตให้ใช้ได้ เพราะเลนจะรวมแสงไม่ให้กระจายไปกระทบต่อรถที่สวนทางมา กับอีกส่วนหนึ่งคือผู้ใช้รถใช้ถนนไปเปลี่ยนโคมไฟโปรเจคเตอร์ เพื่อให้ใช้งานกับหลอดซีนอนได้ ผู้ที่ทำในลักษณะนี้ต้องเอารถไปตรวจกับนายทะเบียนกรมการขนส่งทางบกในพื้นที่ๆมีทะเบียนอยู่ ตามมาตรา 14 แก้ไขดัดแปลงสภาพรถ หลังจากที่นายทะเบียนตรวจแล้วไม่เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ทางนายทะเบียนจะอนุญาตแล้วบันทึกไว้ในสมุดคู่มือจดบันทึกแล้วใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย " รองผบก.จร. กล่าว

นอกจากนี้รองผบก.จร. ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตผู้ที่ใช้ไฟซีนอนจะมีราคาแพงเป็นหลักหมื่นบาท ช่วงนั้นมีการกระทำผิดจำนวนมาก ตำรวจก็พยายามจับกุม หลังจากเริ่มมีการกวดขันจับกุมไปเรื่อยๆ ประกอบกับเลนโปรเจคเตอร์ที่สั่งมาจากต่างประเทศที่มีราคาถูกไม่กี่พันบาท ผู้ใช้รถใช้ถนนก็ไปซื้อโคมโปรเจคเตอร์มาใส่ ผู้ที่ทำลักษณะนี้ก็ลดลง ถ้าไม่ขออนุญาตนายทะเบียนก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งส่วนใหญ่ที่มีปัญหาจะเป็นรถที่ขับอยู่ต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพมหานคร เพราะต้องใช้ไฟสว่างมากเป็นพิเศษ จึงพบผู้กระทำผิดจำนวนมากกว่า

จากข้อมูลของกองบังคับการตำรวจจราจร พบว่า เมื่อปี 2557 มีผู้กระทำผิดกฎจราจรรวมถึงดัดแปลงไฟซีนอนมีจำนวน 1.3 ล้านราย ปี 2558 มีผู้กระทำผิดกฎจราจรจำนวน 1.4 ล้านราย เฉลี่ยเดือนละ 1แสนราย แต่ผู้ที่มาจ่ายค่าปรับตามกฎระเบียบมีเพียง 4 แสนราย ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับการออกใบสั่ง ถือว่าเป็นปัญหาที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรจะต้องแก้ไข

"ด้านนายรักษิต ฐิติพัฒนพงศ์ เครือข่ายนักวิชาการ เพื่อความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่า "ไฟซีนอน (Xenon) หรือที่เรียกว่า HID (HYPER INTENSITY DISCHARGE) มีความสว่างมาก ก่อให้เกิดอันตรายกับรถที่วิ่งสวนไปมา เนื่องจากแสงไฟซีนอน กระทบกับผู้ขับขี่ในระดับสายตา มีค่าส่องสว่างเกินมาตรฐาน สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้ที่ใช้ทางร่วมกันในยามค่ำคืน และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อลำแสงที่ส่องออกจากไฟแต่งที่แรงเกินเหตุพุ่งเป็นลำสาดส่องเข้าไปแยงสายตาของรถยนต์ที่แล่นสวนทางมา ซึ่งรถยนต์หลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีราคาสูงจะติดตั้งไฟซีนอนและไฟแอลอีดีมาจากโรงงาน จะไม่เกิดปัญหาเพราะทางวิศวกรได้ออกแบบควบคุมออกมาให้เป็นไปตามข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบก ส่วนที่มีปัญหาคือกลุ่มที่นำรถยนต์ไปดัดแปลงทีหลัง โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถกระบะและรถยนต์ส่วนบุคคล สำหรับข้อกำหนดในการติดตั้งไฟหน้ารถมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องต่ำ ส่องไปแล้วมองเห็นในระยะ 30 เมตร และไฟสูงในระยะ 100 เมตร จะไม่เป็นการรบกวนสายตาผู้อื่น

ต้องมีการดูต่อไปถ้ามีการดัดแปลงแล้วใครจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือตรอ.ไหม ก็ต้องมีการตรวจสอบตรวจวัดว่าใครจะเป็นผู้ดูแล หรือเป็นขนส่งเอง หรือจะให้ตำรวจเป็นผู้ดูแล เป็นเรื่องที่ต้องมีการตกลงกัน" นายรักษิต ระบุ

นอกจากนี้เครือข่ายนักวิชาการ เพื่อความปลอดภัยทางถนน ยังระบุถึงมาตรการการติดตั้งไฟซีนอนดังกล่าว อยากให้หน่วยงานที่ติดตั้งดัดแปลงต้องเข้าใจว่า การดัดแปลงถ้าในมุมมองผู้ตรวจสอบทางยานยนต์แล้วถือว่ามีความผิดแน่นอน แต่ถ้าจะติดตั้งแล้วให้ธุรกิจเกิดขึ้นอาจต้องมีการสร้างระบบตรวจวัดตรวจสอบมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้อื่น แต่ต้องมานั่งเจรจากันว่าใครจะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ แล้วมีการยื่นจดทะเบียนดัดแปลงอย่างไร พร้อมทั้งอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติรถยนต์บางข้อที่ยังล้าสมัยอยู่ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป"

   อุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ทางโรงงานทำมาดีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่น่าจะดัดแปลง เพราะการดัดแปลงอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นได้ รวมถึงระบบไฟฟ้าจะเสียหายและเกิดไฟไหม้ได้ในที่สุด " นายรักษิต กล่าว

ขณะที่ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนของผู้ที่ติดตั้งไฟส่องสว่างจ้ากว่าปกติหรือไฟซีนอนที่ยังเป็นปัญหาอยู่ในสังคมไทย เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ขณะขับรถสวนทางมาหรือขับตามหลัง ทำให้สายตาพร่ามัวปรับแสงได้ไม่ทัน จึงอยากเรียกร้องให้เพื่อนร่วมทางใช้ไฟที่ติดตั้งเดิมๆมาจากโรงงานจะเป็นผลดีและได้มาตรฐานที่สุด ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงให้รถเกิดความสวยงามหรือความสว่างจ้าเกินกว่าปกติ เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่น

ตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 ระบุว่า ให้ใช้ไฟสีขาว หรือสีเหลืองเท่านั้น หากไปใช้ไฟสีอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ในขณะที่ไฟเลี้ยวหน้า กำหนดให้ใช้สีขาว หรือสีเหลืองทั้งสองข้าง ซ้ายและขวาต้องเป็นสีเดียวกัน ส่วนไฟเลี้ยวด้านท้ายรถ กำหนดให้ใช้ไฟสีเหลือง หรือสีแดงก็ได้ แต่ห้ามใช้สีขาวอย่างเด็ดขาด

  ขณะที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก กำหนดให้ไฟหน้าของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ทุกชนิดที่ใช้งานบนท้องถนน จะต้องมีแสงสีขาว หรือเหลืองอ่อน (ค่า K ไม่เกิน 12,000 K เต็มที่) ติดตั้งสูงจากผิวทางไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร ซึ่งความสว่างของแสงไฟสามารถส่องทางด้านหน้าได้อย่างชัดเจน และไม่เอียงไปทางขวาจนรบกวนสายตาผู้อื่น ส่วนการดัดแปลงไฟหน้ารถให้เป็นแสงสีอื่น หรือทำให้มีความสว่างจ้ามากจนเกินไป เมื่อนำไปใช้งานบนท้องถนน จะสะท้อนเข้ากระจกมองข้าง หรือกระจกมองหลังของผู้ขับขี่ที่อยู่ด้านหน้า หรือส่องเข้าตา ผู้ขับขี่ที่ขับสวนทางมา ทำให้สายตาพร่ามัว จนอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้จากแสงไฟที่แรงเกินค่ามาตรฐานของทางการ ซึ่งผู้ที่ใช้รถที่เพิ่มส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไปจนก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อื่น มีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท



กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) ออกตามความ พ.ร.บ.จราจรฯ

ข้อ 1 รถทุกชนิดที่อยู่ในความควบคุมของกฎหมาย ว่าด้วยการขนส่งทางบกต้องมีโคมไฟตามประเภทและลักษณะที่กำหนด ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก

ข้อ 2 รถยนต์ต้องมีโคมไฟหน้ารถและโคมไฟท้ายรถ ดังต่อไปนี้

(1) โคมไฟหน้ารถมี 3 ประเภท คือ

(ก) โคมไฟแสงพุ่งไกล ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวงสูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 50 วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 100 เมตร ศูนย์รวมแสงต้องไม่สูงกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบ และไม่เฉไปทางขวา ในกรณีที่เป็นรถยนต์สามล้อให้ใช้โคมไฟประเภทนี้เพียงดวงเดียวโดยติดไว้ที่กลางหน้ารถ

(ข) โคมไฟแสงพุ่งต่ำ ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวง สูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 50 วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตร ในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา ในกรณีที่เป็นรถยนต์สามล้อให้ใช้โคมไฟประเภทนี้เพียงดวงเดียว โดยติดไว้ที่กลางหน้ารถ

(ค) โคมไฟเล็ก ให้ติดหน้ารถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โดยให้อยู่ด้านริมสุดแต่จะล้ำเข้ามาได้ไม่เกิน 0.40 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง มีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 10 วัตต์ และต้องมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร โคมไฟแสงพุ่งไกล โคมไฟแสงพุ่งต่ำ และโคมไฟเล็ก จะรวมอยู่ในดวงเดียวกันก็ได้


(2) โคมไฟท้ายรถ มี 3 ประเภท คือ

(ก)โคมไฟท้าย ให้ติดท้ายรถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงแดดมีกำลังไฟเท่ากัน และมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร

(ข) โคมไฟหยุด ให้ติดท้ายรถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงแดดมีกำลังไฟเท่ากัน และมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร

(ค) โคมไฟส่องป้ายทะเบียนรถ ให้ติดท้ายรถ ใช้ไฟแสงขาวส่องที่ป้ายทะเบียนรถ มีแสงสว่างสามารถมองเห็นเครื่องหมายหรือตัวอักษรและตัวเลขได้ชัดเจน จากระยะไม่น้อยกว่า 20 เมตร แต่ต้องมีที่บังมิให้แสงพุ่งออกไปทางท้ายรถโคมไฟท้าย โคมไฟหยุด และโคมไฟส่องป้ายทะเบียนรถต้องส่องแสงสว่างพร้อมกับ
ที่มา : www.nationtv.tv
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook



เทคนิคการเลือกประกันภัยอย่างไรให้เหมาะกับรถมือสอง

     ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ตอนนี้กระแสของการซื้อ – ขายรถยนต์มือสองนั้นกำลังมาแรง เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ก็มีรถยนต์มือสองราคาไม่แพงที่สภาพยังใหม่ และสามารถนำมาใช้งานต่อได้อย่างคุ้มค่าให้เลือกกันมากมาย ที่สำคัญรถยนต์มือสองบางคัน นั้นราคาถูกกว่ารถยนต์มือหนึ่งอยู่ค่อนข้างเยอะ เป็นราคาหลักแสนบาทก็มี ทั้ง ๆ ที่สภาพรถอาจจะยังดูเหมือนใหม่ หรือไม่ได้ผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันมากเท่าไหร่นัก ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่ควบคู่กันไปกับรถยนต์ที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ นั้นก็คือ ‘ประกันภัยรถยนต์’ ซึ่งผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะนิยมซื้อไว้เพื่อความอุ่นใจ ไม่ว่ารถยนต์คันนั้นจะเป็นมือหนึ่ง หรือมือสองก็ตาม เพราะเนื่องจากมันสามารถคุ้มครอง และดูแลได้ทั้งตัวรถยนต์ ทั้งในส่วนของด้านนอกรถ เครื่องยนต์ ไปจนถึงการดูแลค่ารักษาพยาบาล เมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อีกทั้งประเภทของประกันภัยนั้นก็ยังมีให้เลือกหลายราคา หลายระดับ และมีโปรโมชั่นให้เลือกมากมายตามความต้องการ ซึ่งวันนี้ทางทีมงาน Trusteecar จะมานำเสนอเทคนิกการเลือกประกันภัยอย่างไรให้ตรงใจ คุ้มค่า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้มากที่สุด

car_insurance-1.png

1.ราคาแพงที่สุดไม่จำเป็นว่าจะต้องดีที่สุด
ก่อนที่จะเลือกซื้อประกันภัยกับบริษัทใดหนึ่งนั้น แนะนำให้ลองตรวจสอบ และนำบริษัทประกันหลาย ๆ แห่งมากเปรียบเทียบราคาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะบางทีประกันภัยที่มีราคาแพงที่สุด ก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือก และคำตอบที่ดีที่สุดเช่นกัน สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คุณควรจะศึกษาสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ และเลือกอันที่คุ้มค่าที่คุณจะสามารถจ่ายไหว หรือสามารถช่วยประหยัดรายจ่ายของคุณไปได้หลักหลายพันบาท

2. เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
บ่อยครั้งที่อุบัติเหตุมักจะเกิดในช่วงเวลาที่คุณเร่งรีบ หรือว่าอาจจะต้องมีธุระต้องสะสาง รวมถึงเวลานัดที่สายไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นความรวดเร็วของประกันที่มาถึงจุดเกิดเหตุ จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เพราะไม่มีใครอยากจะเสียเวลามานั่งรอเป็นชั่วโมง ดังนั้นมันจะดีกว่าไหม ถ้าหากบริษัทประกันที่คุณเลือกนั้นจะการันตีเรื่องความรวดเร็ว และความตรงต่อเวลา ที่จะมาถึงจุดเกิดเหตุ โดยจะดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าหากบริษัทนั้นจะสามารถอนุมัติสั่งซ่อมรถคุณได้ภายในหนึ่งชั่วโมง

3. บริการเสริม 24 ชม.
หลายครั้งบางทีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนต้องใช้บริการเสริม หรือ รถยก สำหรับบางที่อาจจะต้องมีค่าบริการเพิ่มเติม แถมบางครั้งบริการเสริมรถยกเหล่านั้นก็ไม่ได้เปิดทำการแบบ 24 ชั่วโมง แนะนำว่า ถ้าหากคุณต้องการทำประกันที่ค่อนข้างจะครอบคลุม ก็ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายเพิ่ม หรือถ้าจะให้ดี แนะนำว่าควรจะมองหาประกันภัยที่มีบริการเสริมเหล่านี้ ให้คุณสามารถอุ่นใจได้ว่า ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุ หรือมีเหตุฉุกเฉิน หรือขัดข้องในตอนกลางคืน ก็จะมีบริการเหล่านี้รองรับ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

car_insurance-2.png

4. เลือกชนิดประกันให้ดีโดยที่ไม่ต้องจ่ายแพง
ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากคุณเป็นคนที่ใช้รถไม่บ่อยมากนัก ไม่ค่อยได้ขับออกต่างจังหวัด หรือว่าแค่ขับไป – กลับ จากที่ทำงานมาบ้าน หรือถ้าหากใครคิดว่าประกันชั้น 1 มันมีราคาสูงเกินไป ไม่มีงบพอที่จะจ่าย แนะนำให้ลองมองหาประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้นรองลงมา เพราะในความจริงแล้วคุณสมบัติ หรือสิทธิประโยชน์ที่ได้ก็เรียกว่าแทบจะใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 เลยทีเดียว แถมที่สำคัญคือมันยังสามารถช่วยคุณให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกด้วย

5. ซื้อแพคเกจประกันเพิ่มได้ในราคาเบา ๆ
ถ้าหากสิทธิประโยชน์ในกรมธรรม์ที่คุณซื้อเอาไว้อาจจะยังไม่จุใจ แนะนำให้ลองหาแพคเกจประกันเสริมเพิ่มเติม ที่สามารถจ่ายเพิ่มได้ในราคาเบา ๆ และสามารถครอบคลุม เพื่อที่คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ อาทิ ค่ารักษาพยาบาล เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ค่าสินไหมทดแทนเมื่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต หรือพิการ รวมถึงค่าประกันตัวผู้ขับขี่ ถ้าหากเกิดคดีอาญาทางรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้ครอบคลุม หรือมีมาให้พร้อมกับประกันภัยที่คุณเลือก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะยอมจ่ายเงินอีกสักเล็กน้อยเพื่อความสบายใจ

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก https://www.trusteecar.com/insurance
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

จับแน่!! ตำรวจปรับหนัก รถไม่ต่อทะเบียน มีอัตราโทษอ่วม…



สำหรับคนมีรถสิ่งที่ขาดไม่ได้ต้องมี 3 สิ่ง เหมือนเป็นยันต์กันเหนียวยิ่งกว่าหลวงพ่อวัดไหนๆทั้งสิ้น คือ พ.ร.บ. /ประกัน และที่สำคัญ ต่อทะเบียนรถ ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดถึง 10,000 บาท ไม่คุ้มแน่ๆหากคุณต้องโดนปรับทั้งที่จริงการต่อทะเบียนก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร แต่ที่ดูว่าแพงเพราะคุณอาจโดนคิดค่าบริการแฝงโดยไม่รู้ตัว เรื่องจริงคนที่มีรถอาจยังไม่รู้…

การต่อทะเบียนรถหรือที่เรียกติดปากว่าต่อภาษีรถ หลายๆท่านคงใช้บริการของไฟแนนซ์ในการต่อทะเบียนรถประจำปี  ซึ่งต้องเสียค่าบริการประมาณ 300-800 บาท หรืออาจมากกว่านี้ ทั้งที่จริงแล้วคุณทำเองที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินค่าบริการสักสตางค์แดงเดียวใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ด้วยการต่อ ทะเบียนรถ+พ.ร.บ. ในช่องทางออนไลน์ของ www.silkspan.com ทำได้ง่ายๆ ไม่มีค่าธรรมเนียมแฝง ไม่มีค่าบริการใดๆทั้งสิ้น ที่สำคัญไม่ต้องเดินทาง


ยกเว้น… ต่อทะเบียนรถผ่านเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก ที่ต้องเสียค่าจัดส่งเอกสารไปรษณี ไม่รับบัตรเครดิต/บัตรเดบิตได้บางธนาคาร ไม่มีต่อ พ.ร.บ. ที่สำคัญไม่จบในขั้นตอนเดียว ต้องออกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์อื่นๆอีกรอบ แล้วจะต่อทะเบียนรถทางออนไลน์ ทำเพื่อ…


แทบไม่ต้องอธิบายกันมากเมื่อคุณลองดูในตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า การต่อทะเบียนรถ+พ.ร.บ.ออนไลน์ ผ่าน www.silkspan.com ไม่มีค่าบริการและไม่มีค่าธรรมเนียมแฝงใดๆทั้งสิ้น อยู่ที่ไหนก็สมัครได้ง่ายๆ หรือถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ต สามารถโทรมาได้ที่เบอร์ 0-2392-5500 ง่ายดายเหมือนโทรสั่งพิซซ่า สมัยนี้เวลาเป็นเงินเป็นทองจะให้ลางานไปยืนเข้าคิวเหมือนแต่ก็ก่อนคงไม่ได้แล้ว แค่โดนค่าน้ำมันก็ไม่คุ้ม แต่การต่อทะเบียนออนไลน์ มีข้อแม้ว่ารถต้องไม่เกิน 7 ปี หากเกินต้องมีใบ ตรอ. ถึงจะสามารถทำได้ ซึ่งเป็นหน้าที่อยู่แล้วที่คุณใช้รถมานานก็ต้องตรวจสภาพรถเป็นธรรมดา ไม่ใช่ขับรถควันดำเต็มถนนให้ชาวบ้านเค้าด่าตามหลัง

ถึงตอนนี้คุณต้องตัดสินใจเอาเองแล้วว่าจะต่อทะเบียนรถแบบเก่า หรือมุ่งหาสิ่งที่ดีกว่าเดิมด้วยการต่อทะเบียนรถออนไลน์ หนำซ้ำปัจจุบันคุณไม่ต้องกลัวว่าถึงเวลาหมดอายุแล้วจะลืม เพียงสมัครฟรีบริการเตือนต่อทะเบียนรถทาง SMS ได้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ส่วนลดที่พัก+สปา โดยไม่มีคนโทรไปรบกวนใจ สะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว



ที่มา : silkspan

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

เฉลยแล้ว สูตรการ”สอบใบขี่ ง่ายๆให้ผ่าน ฉลุย “แค่”ครั้งเดียว




วิธีการเตรียมตัว สอบทำใบขับขี่รถยนต์ปี 2558-2559 ได้อย่างไร การเตรียมเอกสาร และท่าในการสอบ
วันนี้จะเขียนอธิบายเรื่องเทคนิคในการสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ในปี 2556 ให้อ่านเพื่อนเป็นแนวทางในการที่จะไปสอบ
อันดับแรก คือในการสอบเดียวนะจะสอบ 2 วันครับ ซึ่งเดิมที่จะสอบเพียงแค่วันเดียว การปรับเปลี่ยนการสอบนี้ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2555 เป็นต้นมาครับ ซึ่งในการสอบนั้น จะเป็นการอบรม และสอบข้อเขียน 1 วัน และ สอบภาคปฏิบัติจริง 1 วัน หาก การสอบใดการสอบหนึ่งไม่ผ่าน สามารถสอบใหม่ได้ วันหหลังแต่ไม่เกิน 3 วันทำการ ครับ
เอกสารที่จะต้องเตรียมใบในวันสอบ
1. บัตรประชาชนตัวจริง
2. สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมระบุเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้
3. ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกิน 1 เดือน
สอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขั้นที่ 1 ภาคตรวจสมรรถภาพร่างกาย
จะมีเกมส์ให้เล่น 2 เกมส์ครับ เป็นเกมส์เกี่ยวกับสายตานั้นแหละ ถ้าเป็แนเมื่อก่อนก็ ตรวจสายตา บอดสีนนั่นแหละครับ
เกมส์ที่ 1 ไฟขึ้นสามสี ตามสัญญาณไฟจราจร แต่ ไม่ได้ เรียงเป็นแนวตั้งเหมือนสัญญาณไฟตามท้องถนนนะครับ เป็นไฟแบบที่เรียกว่า Disco ตามผับ ตามบาร์นั้นแหละ ไฟจะแสดงแบบสั่มให้เราตอบว่าเป็นสีอะไร ไม่ได้ เรียงตามบนล่างตามที่เราท่องจำมานะครับ สำหรับผู้ที่ตาบอดสีและจำตำแหน่งมาละก็หมดสิทธิ์
เกมส์ที่สอง คือก็บอกสีสัญญาณไฟที่แสดงบนหางตาเรา หมายความว่า ให้เีรามองตรง ๆ ไม่ให้เหลือบสายตาไฟไหน และจะมีแสงไฟมาที่ด้านข้าง ของเรา ให้เราบอกว่าแสงนั่นเป็นแสงสีอะไร
เกมส์ที่สาม ทดสอบสายตาแนวลึก จะมีแท่งไม้ 2 แท่ง แท่งหนึ่งอยู่กับที่เป็นแท่งหลัก ให้เพื่อนกดปุ่มเลื่อนอีกแท่งไปมา 2 ครั้ง ครั้งแรกให้เลื่อนมาด้านหน้าให้อยู่ในระดับเดียวกับแท่งหลัก ครั้งที่ 2 ในทางสลับกัน
เกมส์ที่สี่ ทดสอบเหยียบคันเร่งแล้วเบรค ให้เหยียบคันเร่งมิดสัก 5 วินาที ไฟเขียวข้างหน้าจะขึ้นไฟแดงแทนเพื่อให้เพื่อนเหยียบเบรคภายใน 0.75 วินาที ให้ผ่าน 2 ใน 3 ครั้ง ถ้าจะเอาให้ผ่านทันที ก็เหยียบเบรคมิด เหมือนเบรคกระทันหัน แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็ต้องนั่งรอจนกว่าเพื่อน ๆ จะสอบเสร็จ แล้วมาสอบใหม่


สอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขั้นที่ 1 ภาคฟังคำบรรยายส่วนทฤษฎี
อบรมฟังคำบรรยายทั้งวันครับ โดยแบ่งเป็น 2 รอบคือ รอบ 9.00-12.00 น. และ 13.00 – 15.00 น.
โดยรอบแรกจะบรรยายถึงกฎหมายจราจร และ ส่วนเครื่องหมายต่าง ๆ จะอยู่ในช่วงบ่าย
สอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขั้นที่ 1 E-EXAM
เมื่อฟังคำบรรยายเสร็จแล้วก็สอบกันเลยครับ จะสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์สอบครับ แบบทดสอบออนไลน์ ตามเวลาจะใช้เวลา 1 ชั่วโมงครับ แต่เมื่อความสามารถของแต่ละคน เห็ฯทำกันไม่ถึงสิบห้านาทีก็ผ่านแล้ว เก่ง ๆ กันทุกคนเลย ในที่นี่ คะแนนเต็มอยู่ที่ 50 คะแนน จะต้องได้คะแนนสำหรับรถยนต์ อยู่ที่ 45 คะแนน และรถมอเตอร์ไซต์ อยู่ที่ 45คะแนน แต่ถ้าในสอบทั้งสองประเภท ให้สอบสองครั้งนะครับ เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าใครอยากฝึกทำ ข้อสอบใบขับขี่รถยนต์ ลอง ทำดูได้
สอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขั้นที่ 2 ภาคปฏิบัติ
ไปสนามสอบแ่ต่เช้ารับบัตรคิว เลยครับ หรือไม่ว่างไปสอบก็สามารถไปสอบได้ภายใน 3 เดือน เมื่อสอบภาคแรกผ่านครับ ท่าไหนไม่ผ่านก็สอบใหม่ แต่เว้นวันทำการ 3 วันครับ หรือก็แล้วแต่ผู้คุมสอบพิจารณาครับ
สรุปเวลาโดยประมาณที่ใช้ไปในการสอบภาคปฏิบัติ
9.00-9.30 น. อธิบายพร้อมสาธิต
9.30-10.45 น. เรียกคิวที่ 1-30
10.45-11.30 น. เรียกคิวที่ 31-60
11.30-11.45 น. เรียกคิวที่ 61-90
13-14 น. เรียกคิวที่ 91 เป็นต้นไป

การสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติ ท่าถอยหลังเทียบจอด (ท่าที่ 1)
หลักเกณฑ์และเทคนิค ท่าที่ 1 ถอยหลังเทียบจอด มีดังต่อไปนี้
(1) ห้ามใช้เกิน 7 เกียร์ ซึ่งนับเกียร์แรกคือตอนเดินหน้าขึ้นมาตั้งลำตรง ดังนั้นจะเหลือเพียง 6 เกียร์สำหรับเดินหน้าและถอยหลังจอดให้อยู่ในกรอบแดง หมายความว่า เมื่อถอยแล้วไม่ตรงกรอบ ท่านมีโอกาสแก้ตัวขึ้นหน้าใหม่ถึง 2 ครั้ง
(2) จำไว้ว่า คนส่วนมากจะถอยหลังชนหลัก หรือเบียดข้างก่อนเกียร์ที่ 7 ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจก็เดินหน้าใหม่ซะ
(3) เกียร์เดียวอาจถูกนับเป็น 2 เกียร์ เพราะเจ้าหน้าที่ดูพลาด เช่นถอยหลังแล้วหยุด แล้วถอยหลังต่อ ดังนั้นแนะนำว่าถ้าจะหยุดก็อย่าหยุดนาน เพื่อความเข้าใจอันดีของเจ้าหน้าที่
(4) ขนาดกรอบ 4 เหลี่ยมที่จะให้จอดอยู่ภายในกรอบแดงนี้คือ 2.5X5 เมตร โดยมีกรอบ 2 ชั้น คือกรอบด้านนอกสีแดง สำหรับขนาดรถมาตรฐาน และกรอบสีเหลืองด้านใน สำหรับรถขนาดเล็ก เช่น Honda Jass, Mini couper, Mazda 2 (รถจิ๋ว), Mitsubishi 1200 cc
(5) ด้านหน้าเหนือกรอบแดงนี้ ไกลออกไป 2.5 เมตรมีกำแพงสีส้มกั้นไว้ ส่วนด้านหลังเลยกรอบแดงไปเพียง 1 คืบมือ ก็มีกำแพงสีส้มกั้นไว้ ต้องไม่เฉี่ยวชน อย่ากลัวกำแพงด้านหน้านี้มากนัก เพราะถ้าห่างมันมากจะไปชนกำแพงด้านหลัง หรืออาจทับกรอบ ซึ่งคนสอบตกกันเป็นจำนวนมาก
(6) หันไปดูไม้ที่เสียบที่กำแพงด้านหลัง ถ้าเป็นรถ 4 ประตู ให้ห่างมันไว้ประมาณ 3 ฟุต มันใจไว้ว่าไม่เกินขอบหน้าแน่ ๆ
การสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติ ท่าจอดทับเส้น (ท่าที่ 2)
ท่าที่ 2 คือ เลี้ยวซ้าย จอดชิดเทียบฟุตบาท ไม่เกิน 25 ซม.
(1) ผู้ขับต้องเลี้ยวซ้ายเทียบจอด ซึ่งไม่ต้องกังวลเพราะมุมฟุตบาทที่หัวเลี้ยวเป็นแบบมน ๆ
(2) ล้อต้องทับเส้นขาวด้านซ้ายมือ ซึ่งห่างจากฟุตบาทไม่เกิน 25 เซนติเมตร
(3) หน้ารถต้องอยู่ระหว่างเส้นสีขาว
(4) ห้ามเบียดฟุตบาท
(5) ถ้ากลัวเบียดมาก ก็ตีวงกว้าง ๆ จะได้มีที่พอเพื่อขับเฉียงเข้าเทียบจอด
การสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติ ถอยหลังตรง (ท่าที่ 3)
(1) เมื่อไปถึงที่ที่ให้เดินหน้าตรง ถอยหลังตรง ตีวงกว้าง ๆ เพื่อไม่ให้เบียดหลัก
(2) ขับเข้าไปจนกว่าล้อหลังจะพ้นเส้น แล้วค่อยถอยหลัง
(3) ถอยจนล้อหน้าพ้นเส้น แล้วค่อยหักพวงมาลัยเลี้ยว
(4) อย่าลืมเปิดไฟเลี้ยวก็ที่จะเลี้ยวด้วยนะ
สำหรับเครื่องหมายจราจรในสนามสอบ
(1) อย่าลืมเปิดไฟเลี้ยว เปิดก่อนถึงทางแยก
(2) เจอป้ายหยุด ให้หยุด 10 วินาที ทำท่าดูซ้ายขวาด้วย
(3) เจอทางรถไฟก็หยุดด้วย
(4) เจอวงเวียน ให้เวียนขวา ตามเข็มนาฬิกา
(5) ถ้ามีรถในวงเวียน ให้เขาขับไปก่อนแล้วเราตาม
ค่าธรรมเนียมทำใบขออนุญาต
เมื่อทำการสอนผ่านทั้งสอบขั้นเรียบร้อยแล้วก็ไปเสียค่าธรรมเนียมในการทำขอใบอนุญาตเลยครับ เวียค่าบริหารทั้งสิ้น 205 บาท เป้นค่าธรรมเนียมขอมีบัตร 5 บาท ค่าทำใบอนุญาต 100 บาท และค่าถ่ายรูป อีก 100 บาท เป็นบัตร Smart Card ครับ คล้ายบัตรประชาชน คือต้องรอถ่ายรูปทำกับเค้าที่นั่นครับ หากคิดว่าตัวเองสอบผ่านแน่ ๆ ทำบัตรชั่ว ก้แต่งตัวไปหล่อ สวย ๆ หน่อยนะครับ รูปในบัตรจะได้งาม ๆ ครับ

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

แว๊กซ์เคลือบสีรถควรลงอย่างไรให้ถูกวิธี

    สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว kcycar.com วันนี้เราก็มีเกร็ดความรู้ดีๆ มาฝากเพื่อนๆ กันอีกเช่นเคย โดยเราขอเอาใจคนที่ชอบดูแลรักษาพื้นผิวรถกันสักหน่อย ซึ่งปัจจุบันนี้การเคลือบสีหรือการล้างรถนั้น ผู้ใช้รถส่วนใหญ่นิยมทำเองเป็นจำนวนมาก เพราะบางท่านคิดว่าการที่เราทำเอง ย่อมมีการเอาใจใส่มากกว่าไปล้างหรือไปเคลือบที่ร้านอยู่แล้ว แต่วิธีขั้นตอนการทำนั้นอาจจะมีการผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย วันนี้เราก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการลงแว๊กซ์เคลือบสีรถมาฝากกันครับ



ขอสำคัญ 2 ข้อที่ควรจำ นั่นก็คือ
  1. ไม่ควรลงแว๊กซ์หรือเคลือบสีรถ ในขณะนี้ที่อุณหภูมิของตัวถังหรือเครื่องยนต์ร้อนอยู่
  2. ไม่ควรลงแว๊กซ์หรือเคลือบสีกลางแดด เพราะจะทำให้แว๊กซ์เซ็ตตัวเร็วกว่าปกติ ยังไม่ได้ทำปฏิกิริยาใดๆ กับสีรถ จึงทำให้แว๊กซ์เสื่อมคุณภาพ แต่อาจจะมีแว๊กซ์บางยี่ห้อที่สามารถเคลือบกลางแดดได้ ถ้าจะให้ดีตอนซื้อแว๊กซ์มาเราควรสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อนนะครับ
          มาต่อกันในส่วนของการเคลือบสีกันบ้างครับ เมื่อเราลงแว๊กซ์ ให้เราทาลงไปบนตัวรถให้คล้ายๆ กับรูปก้นหอย จากนั้นให้ปล่อยไว้ซัก 10-15 นาที และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดออก แนะนำให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เท่านั้นนะครับ ซึ่งแว๊กซ์บางยี่ห้อก็อาจจะเช็ดออกง่ายบางยี่ห้อก็อาจจะเช็ดออกยาก แตกต่างกันไปตามการพัฒนามาของผลิตภัณฑ์ ซึ่ง kcycar.com ก็ขอแนะนำให้เพื่อนๆ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ก่อนจะนำมาเคลือบรถของท่าน ทางที่ดีก็ควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับรถของท่านให้มากที่สุดครับ

ขอบคุณขอมูลดีๆ จาก  Boxza Racing
เรียบเรียง : kcycar.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ซื้อของแต่งมือสอง...เลือกอย่างไรให้คุ้มค่า และไม่โดนหลอก




          ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้กระแสรถแต่งแพร่หลายอย่างมากในประเทศไทย แม้ว่าจะมี ม.44 ออกมาให้ขัดอกขัดใจกันอยู่บ้าง แต่ด้วยความคลั่งไคล้แบบเข้าเส้นเลือดสำหรับคนรัก...ก็ยังรักอยู่วันยันค่ำ กระแสของรถแต่งก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเมื่ออยากแต่งรถ สิ่งที่ต้องทำนอกจากหาข้อมมูลก็คือ ต้องเลือกหาของที่ในตลาดก็มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ ครั้นจะเล่นของใหม่เบิกห้างราคาก็ค่อนข้างโหดร้ายเอาเรื่อง ดังนั้นทางเลือกที่คุณคู่ควรจึงอยุ่ที่การเลือกช้อปของแต่งมือสองที่ราคาเป็นมิตรกว่าพอสมควร 
          การใช้ของแต่งรถมือสอง มีข้อดีอยู่หลายประการด้วยกัน ทั้งเรื่องของราคา ที่หลายๆ คนใช้เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา แน่นอนว่าต้องถูกกว่าของมือหนึ่ง แต่จะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับสภาพและความนิยมของสินค้านั้นๆ รวมถึงสำหรับผู้ที่ต้องการอะไหล่รถที่เลิกผลิตไปแล้ว ก็ยังสามารถหาซื้อสินค้าที่เป็นของแต่งมือสองได้ นอกจากนั้นเงินที่นำไปซื้อของแต่งมือหนึ่ง อาจซื้อของแต่งมือสองได้หลายชิ้นในจำนวนเงินที่เท่ากัน อีกทั้งการขายต่อไม่ตกเท่าของใหม่มาขาย และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโดยนำของเดิมกลับมาใช้ใหม่อีกด้วย

กล่อง ECU
 
          แต่ถึงอย่างนั้นเอง ก็มีข้อจำกัดของการซื้อของมือสอง ได้แก่ อุปกรณ์ที่ไม่สามารถตรวจสอบสภาพการทำงานได้ทันที ซึ่งก็ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น กล่อง ECU ต่างๆ ที่่ต้องตรวจสภาพกันให้ดีก่อนใช้ รวมถึงอุปกรณ์ที่มีการสึกหรอ เช่น ผ้าเบรก, ยาง หากจำเป็นต้องซื้อจริงๆ ควรเลือกซื้อกับร้านที่เชื่อถือได้ และมีการรับประกันสินค้าที่แน่นอน

รอยต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ล้อแม็ก
          ไปชมวิธีการเลือกแม็กมือสองมาแล้วใน” แม็กมือสอง มีวิธีการเลือกซื้ออย่างไร ”  วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากเพื่อนๆ เพิ่มเติมดังนี้ ล้อมือสองส่วนใหญ่อาจมีรอยถลอก ครูด บ้างตามสภาพ แต่ยังสามารถใช้ได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ต้องไปกังวล หรือซีเรียสมาก แต่สิ่งที่ต้องซีเรียสจริงๆ คือ การแตก ดุ้ง คด ร้าว จนไม่สามารถซ่อมกลับมาเหมือนเดิมได้ควรหลีกเลี่ยง สามารถตรวจได้ด้วยตาเปล่า และใช้เครื่องถ่วงล้อเพื่อเช็ค ล้อ ดุ้ง คด ในขณะเดียวกันการซื้อล้อมือสอง ไม่ควรดูแค่ความสวยงามเรียบร้อย ที่ผ่านการแก้ไขตบแต่งมาแล้ว เช่น เก็บขอบ กลึงขอบ ทำสี ปาดเงา เพราะล้อจะบางและลดความแข็งแรง ทำให้ล้อดุ้ง หรือ คด ง่ายเมื่อนำไปใช้ต่อ ควรดูที่สภาพดั้งเดิมของล้อ ไม่ทำสี ไม่ซ่อมเก็บ อยู่ในสภาพจากโรงงานจะดีที่สุด
แม็กแตก                                                   แม็กดุ้ง
          อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย คือ ล้อก๊อป, ของปลอม บางคนอยากได้ล้อแท้มือสองแต่โดนของก๊อปย้อมแมวหลอกว่าเป็นของแท้ ปัญหาแบบนี้เพื่อนๆ ต้องศึกษา, จดจำของแท้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ลักษณะคร่าวๆ ของล้อแม็กก๊อปจะทำสีเพี้ยนไปจากของแท้ น้ำหนักล้อจะหนักกว่าของแท้ รวมถึงตัวอักษรที่ประทับบนล้อจะไม่เหมือนกับของแท้ทุกตัว แต่ในท้ายที่สุดขอแนะนำเพื่อนๆ ว่าควรซื้อกับร้านที่ไว้ใจได้ ระบุแหล่งที่มาแน่นอน และมีการรับประกันสินค้าจะดีที่สุด

          แกนโช้คมีรอยไหม้                                         เกลียวแกนโช้ค
                                 
 

โช้ครั่ว จนมีน้ำมันออกมา
          นอกจากล้อแม็กมือสองที่คนนิยมใช้กันแล้ว ในเรื่องของช่วงล่าง(Suspension) โช้คแต่งมือสองก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน  มีวิธีเลือกโช้คแต่งมือสองมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ โดยจุดที่ทุกคนทราบกันดี คือ ต้องระวังโช้ครั่ว จุดที่ดูก็คือ สังเกตแกนโช๊คว่ามีน้ำมันเกาะแกนเยอะหรือไม่ แกนโช้คมีรอยหรือไม่ซีลระหว่างแกนโช้คกับกระบอกแข็งหรือรั่วหรือไม่ ลองกดโช้คดูว่าคืนตัวหรือไม่ แกนโช้คมีรอยไหม้หรือไม่ ตัวปรับสามารถหมุนปรับความหนืดได้หรือไม่ ถ้าโช้ครั่ว, ไม่คืนตัว, มีรอยไหม้ ก็ไม่ควรที่จะเลือกมาใช้งาน เพราะมีความเสี่ยงเรื่องสมรรถนะการขับขี่และความปลอดภัย

บรรยากาศภายในช็อป Up Garage
          สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ แหล่งที่มาและร้านที่จำหน่าย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องหลักที่เราควรดูด้วยเช่นกัน เพราะต้องเป็นร้านค้าที่ไว้ใจได้ ระบุแหล่งที่มาของสินค้าได้อย่างโปร่งใส และควรเลือกแหล่งซื้อที่มีป้ายบอกรายละเอียดสินค้าและราคาสินค้าอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้ถูกหลอก รวมถึงสามารถตรวจสอบก่อนได้ว่าสินค้าไม่มีความเสียหาย สุดท้ายควรซื้อจากร้านที่มีการรับประกันสินค้า เพราะสินค้ามือสองเป็นสินค้าที่มีโอกาสซื้อผิดหรือเสียหายหลังจากการติดตั้งได้ ซึ่งร้านหนึ่ง เห็นว่าสามารถตอบโจทย์การซื้อสินค้าของแต่งมือสองได้เป็นอย่างดี คือ Up Garage (อัพการาจ) ที่มีสินค้าของแต่งแท้มือสองนำเข้าแดนอาทิตย์อุทัยมากมายหลายชนิด มีมากกว่าร้อยสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น สามารถมั่นใจเรื่องการรับประกันได้ว่า สินค้ามือสองที่ซื้อจากร้านอัพการาจไปแล้วหากไม่ตรงรุ่น เสียหายหลังจากการติดตั้ง เราสามารถเปลี่ยนสินค้าหรือคืนเงินได้ทันที รวมถึงระยะการรับประกันสูงสุดถึง 1 เดือน

ล้อแม็กหากเป็นของแท้มือสอง อัพการาจจะวางล้อที่มีตำหนิที่สุดไว้บนสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก car.boxzaracing.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

Honda Civic Type R กับวิวัฒนาการร่วม 2 ทศวรรษ จากรุ่นสู่รุ่น



                Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) อีกหนึ่งยนตรกรรมขนาดเหมาะมือที่ได้รับการกล่าวขานจากผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วทุกมุมโลก ด้วยความที่เป็นรถที่มาพร้อมเรือนร่างที่ดูมีเสน่ห์ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับตระกูลแรงภายใต้รหัส Type R ที่แฟนคลับทั้งในบ้านเราและต่างแดนกล่าวขานกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละรุ่นก็จะมีวิวัฒนาการกันไปตามลำดับ จนกระทั่งล่าสุดทางค่ายได้ส่งเจนเนอเรชั่นที่ 4 มาแบบสดๆ ร้อนๆ กับมาดใหม่ที่สาวกตัว H แทบไม่ค่อยจะได้เห็น ซึ่งก็อาจทำให้บางคนที่ยังติดกับภาพเก่าๆ เสื่อมศรัทธาลงไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า Honda Civic Type R เจนเนอเรชั่นล่าสุด คือ อสุรกายแห่งท้องถนนที่พร้อมสยบคู่ต่อกรจากทุกค่ายได้อย่างแท้จริง

                ณ โอกาสนี้ทาง Kcycar.com ขอนำทุกท่านไปย้อนอดีตเพื่อรำลึกถึงที่มาที่ไปของ Civic ตัวจี๊ดภายใต้รหัส Type R ตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรก จวบจนปัจจุบัน โดยแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งบรรดาแฟนคลับคงรู้ซึ้งถึงพิษสงของขุมพลัง VTEC ฝาแดงกันเป็นอย่างดี และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปชมกันเลยดีกว่าครับ

EK9 ปฐมฤกษ์แห่ง Honda Civic Type R
ขุมพลัง B16B  หนึ่งในขุมทรัพย์สำหรับสาวก NA

EK9 จุดกำเนิดของ Civic Type R
                ย้อนหลังไปไม่กี่ปี แฟนๆ ของ Honda ได้ยลโฉมตระกูลแรง Type R ในเรือนร่างอื่นๆ แล้ว แต่สำหรับ EK ซึ่งถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของซีดานในตระกูล Civic คือ จุดเริ่มต้นของ Civic Type R ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1997 ด้วยเรือนร่างขนาดกะทัดรัดมาพร้อมเขี้ยวเล็บที่เต็มเปี่ยมจากขุมพลัง B16B ที่สาวกตัว H ทั่วทุกหัวระแหงต่างถวิลหา แรงม้าที่รีดออกมาได้ ณ เวลานั้น คือ 185 ตัว ซึ่งเมื่อเทียบกับขุมพลังที่มาในพิกัดเพียง 1.6 ลิตร ไร้ซึ่งระบบอัดอากาศ ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง ยิ่งเมื่อจับคู่กับชุดเกียร์อัตราทดชิดพร้อมลิมิเต็ดสลิป ยิ่งช่วยส่งให้ Civic EK9 Type R มีสมรรถนะที่โดดเด่นเกินตัวทั้งบนถนนและในสนามแข่งอย่างปฏิเสธไม่ได้


EP3 อาจไม่ใช่รถที่เราพูดถึงกันมากนัก แต่เรื่องสมรรถนะ ไม่เป็นรองใครแน่นอน
  
K20A เทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่มาแทนบล็อค B ได้อย่างสมเกียรติ

EP3 ความแรงยุคใหม่ ในสไตล์ซ่อนรูป
                หากพูดถึง Honda Civic Type R ในรหัส EP3 แล้ว รุ่นนี้อาจดูเหมือนจะไม่ค่อยฮ็อตฮิตติดกระแส หรือโด่งดังเหมือนตระกูลที่ผ่านมา เนื่องจากฐานการผลิตอยู่ในประเทศอังกฤษและเน้นการจำหน่ายทางฝั่งยุโรปเป็นหลักในช่วงแรก ก่อนที่จะส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นในเวลาต่อมา แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าCivic Type R เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้ คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของค่าย Honda กับการนำขุมพลัง K Block มาประจำการแทนเครื่องบล็อก B ที่ใช้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน EP3 ถูกส่งมาจำหน่ายในท้องตลาดตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งมาพร้อมขุมพลังในรหัส K20A (200 แรงม้า เวอร์ชั่นยุโรป และ 215 แรงม้า เวอร์ชั่นที่ขายในญี่ปุ่น) จับคู่กับชุดเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สุดจี๊ดที่ช่วยส่งให้ EP3 Type R กลางเป็นอสุรกาย Hot Hatch ในเวลาไม่นาน

FD2 ภาพลักษณ์ที่เราๆ ท่านๆ น่าจะคุ้นหูคุ้นตามากที่สุด
FN2 อีกหนึ่งตัวจี๊ดที่วัยแรงเมืองผู้ดีให้ความนิยม

FD2/FN2 ขีดสุดความเร้าใจแห่งขุมพลัง NA
                ในช่วงต้นปี 2007 ทางค่าย Honda ได้ส่ง Civic Type R ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 ออกมา โดยเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะมาในรหัส FD2 ที่เราๆ ท่านๆ น่าจะคุ้นกับภาพลักษณ์ของ Civic รุ่นนี้กันเป็นอย่างดี เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่เมื่อดูเผินๆ อาจจะคล้ายกับรุ่นที่มีจำหน่ายในบ้านเรา แต่หากมองให้ลึกในรายละเอียด ก็จะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยในรุ่น FD2 จะมาพร้อมความเร้าใจในรูปแบบที่ทางค่ายจัดมาให้แบบเต็มๆ กับขุมพลังบล็อก K20A ที่ได้ชื่อว่า “แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา” กับแรงม้าในระดับ 225 ตัว ซึ่งจับคู่กับเครื่องเคียงที่ทางค่ายจัดมาให้แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นล้อขนาด 18 นิ้ว โอบรัดด้วยยาง Bridgestone Potenza RE070 ไซส์ 225/40 R18 ชุดเบรก Brembo 4 POT สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากเจนเนอเรชั่นก่อน คือ ในรุ่นที่จำหน่ายในยุโรป จะมาพร้อมภาพลักษณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยจะมาในรหัสตัวถัง FN2 กับตัวถังในสไตล์แฮทช์แบ็คที่มาพร้อมขุมพลัง K20 ที่แม้แรงม้าถูกดร็อปลงมาเหลือเพียง 200 ตัว แต่ก้ยังคงไว้ซึ่งความเร้าใจในแบบฉบับของ Type R ไว้อย่างเต็มเปี่ยม


Civic FK2 เปรียบเสมือนการปฏิวัติวงการของค่าย Honda
ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นค่ายนี้ เลือกคบกับขุมพลังที่มาพร้อมระบบอัดอากาศ

FK2 ยุคแห่งการปฏิวัติวงการของ Type R
                หลังจากที่กระแสของ Type R เงียบไปพักใหญ่ ในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา ล่าสุดทางค่าย Hondaก็ได้เผยโฉม Honda Civic Type R เจนเนอเรชั่นใหม่ ภายใต้รหัส FK2 ซึ่งเป็นเสมือนการปฏิวัตวงการของทางค่ายอย่างแท้จริง แม้ว่า Honda จะเคยทำเครื่องแบบมีระบบอัดอากาศมาให้แฟนๆ ได้ยลโฉมกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ภาพที่สาวกตัว H คุ้นเคยกันเป็นแน่แท้ แต่ในเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Civic Type R จะมาพร้อมขุมพลังเทอร์ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีมากมาย เพื่อส่งให้ Type R รุ่นล่าสุดมีสมรรถนะที่เหนือชั้น ภายใต้ความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดังจุดประสงค์ที่ทางค่ายยึดมั่นมาโดยตลอด นับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดกับขุมพลัง Earth Dream 2.0 ลิตร VTEC Turbo Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 310 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดในระดับ 400 นิวตัน-เมตร ที่เรียกมาใช้งานได้แบบยาวๆ ตั้งแต่ 2,500-4,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ซึ่งสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 270 กม./ชม. เรียกได้ว่าเป็น Type Rที่เหนือชั้นที่สุดตั้งแต่เคยมีมา


ขอบคุณข้อมูลจาก : car.boxzaracing.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook