Honda Civic 2016 สัมผัสที่สุดของความเป็นซีวิค กับ 2 ขุมพลังสุดเร้าใจ ใครเหมาะกับรุ่นไหน...เดี๋ยวรู้


          Honda Civic 2016 (ฮอนด้า ซีวิค 2016) หรือที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันในนาม Civic FC เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา โดยนับว่าเป็นยนตรกรรมเจนเนอเรชั่นล่าสุดที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ด้วยดีไซน์ที่เฉียบคม ผนึกกับขุมพลังใหม่ ทีมาในรูปแบบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ช่วยส่งให้ยนตรกรรมซีดานภายใต้ชื่อ Civic ผู้นี้ เป็น Civic ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตามสโลแกนที่ว่า “สู่ที่สุดของความเป็นซีวิค


          Civic เจนเนอเรชั่นที่ 10 ยนตรกรรมพรีเมียมสปอร์ตซีดานที่ได้ก้าวสู่การพัฒนาครั้งใหม่ เพื่อก้าวข้ามทุกขีดจำกัดเดิม สู่การเป็นที่สุดของยนตกรรมที่คนทั้งโลกให้การยอมรับ ทั้งการออกแบบให้มีความทันสมัย โดดเด่นและหรูหราในสไตล์สปอร์ต ผสานกับความก้าวล้ำนำสมัยของเทคโนโลยียานยนต์ อาทิ ขุมพลังที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยี 1.5 ลิตร เทอร์โบ พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายในรถ เพื่ออำนวยความสะดวก และอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้สัมผัสความสปอร์ต และความท้าทายครั้งใหม่ที่เร้าใจกว่าเดิม

Honda Civic RS ขุมพลัง 1.5 ลิตร เทอร์โบ


          ล่าสุด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญชวน BoxzaRacing ไปเป็นส่วนหนึ่งในการสัมผัสสมรรถนะของ Honda Civic เจนเนอเรชั่นที่ 10 แบบเต็มๆ กันอีกครั้ง บนเส้นทางจังหวัดภูเก็ต-กระบี่-ภูเก็ต โดยเริ่มตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต มุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลย 4 ผ่านจังหวัดพังงา สู่เป้าหมายที่จังหวัดกระบี่ รวมระยะทางไป-กลับทั้งสิ้นราว 270 กม. ซึ่งระหว่างทางที่ใช้ในการทดลองขับครั้งนี้ เรียกได้ว่ามีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย พร้อมให้เราได้สัมผัสถึงพละกำลังและประสิทธิภาพของ Honda Civic FC ทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ได้แบบครบรสเลยทีเดียว

Honda Civic เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร


          สำหรับรุ่นที่ BoxzaRacing ได้ทดลองขับในครั้งนี้ เริ่มสตาร์ทกันด้วยรุ่น EL เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ก่อนจะสลับมาขับในรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ทันทีที่เราเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร สัมผัสแรกที่รู้สึกได้เลยก็คือ เรื่องของความกว้างขวาง สะดวกสบาย กับการออกแบบตัวรถให้มีขนาดตัวถังที่ใหญ่และดุหรูหรามากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปท์ Premium Sport Car ที่ทางค่ายได้วางเอาไว้ วัสดุที่ใช้ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมประดุจซีดานฝั่งยุโรป ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลและแผงประตู Soft Touch สีดำสลับกับแถบอลูมิเนียม เบาะนั่งให้ความรู้สึกที่โอบกระชับ นั่งสบาย ตำแหน่งการนั่งนั้น ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับซีดานที่จำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด ทำให้รู้สึกถึงความเป็นสปอร์ตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งที่ผมชอบมากๆ สำหรับ Civic เจนเนอเรชั่นนี้ คือ การสามารถจัดตำแหน่งอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเบาะหรือตำแหน่งของพวงมาลัยได้อย่างหลากหลาย เข้ากับสรีระของคนที่รูปต่างขนาดต่างๆ ได้ดี ช่วยให้ทุกการขับขี่ มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ภายในของรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ กับออพชั่นแบบจัดเต็ม

เบาะหลังอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลง เพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะให้มากขึ้น

            ในส่วนของพวงมาลัยมาในดีไซน์ 4 ก้าน พร้อมปุ่มปรับฟังค์ชั่นต่างๆ ที่มีให้เล่นอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องเสียง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เรือนไมล์มาในดีไซน์ที่ล้ำสมัย พร้อมรองรับการแสดงผลได้อย่างเต็มรูปแบบ ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงที่ให้มา เรียกได้ว่าทางค่ายจัดมาให้แบบครบครัน โดยในรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ จะมาพร้อมระบบ Advance Display Audio กับเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch ควบคุมทุกฟังก์ชั่นความบันเทิงได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ส่วนเบาะหลังออกแบบมาให้มีตำแหน่งที่ต่ำ เพื่อความโปร่ง สบายสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งแม้ว่าหลังคาจะถูกปรับความสูงให้ต่ำลง แต่สำหรับคนที่มีความสูงถึง 180 ซม. กลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ SOHC i-VTEC ให้พลังขับเคลื่อน 141 แรงม้า

          เมื่อได้เวลาออกเดินทาง ผมก็ไม่รอช้าที่จะผลักตำแหน่งเกียร์มาอยู่ที่ D เพื่อสัมผัสความเร้าใจที่ซ่อนอยู่ใน Honda Civic FC โดยฟีลลิ่งที่สัมผัสได้ยามแตะคันเร่งของเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร i-VTEC ให้กำลัง 141 แรงม้า คือ ความสมูท ตัวรถค่อยๆ สร้างความเร็วขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกียร์ CVT ออกแบบมาให้ย่านรอบเครื่องยนต์อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดเชื่อเพลิง โดยถ้าต้องการความเร้าใจขึ้นอีกระดับ การผลักคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง S ก็จะช่วยสร้างความเร้าใจให้กับผู้ขับขี่ได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว เนื่องจากรอบเครื่องยนต์จะถูกปรับให้ค้างอยู่ในรอบที่สูงมากขึ้น ซึ่งหากใช้รอบเครื่องสูงกว่า 3,000 รอบ/นาที ก็ถือว่าเร้าใจและสามารถสั่งความเร็วได้ตามต้องการ

ขุมพลังบล็อคล่าสุด 1.5 ลิตร Turbo ให้กำลัง 173 แรงม้า พร้อมแรงบิด 220 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 1,700-5,500 รอบ/นาที 

          ส่วนสำหรับรุ่น RS เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เพียงแค่แตะคันเร่งแบบแผ่วเบา กลับรู้สึกถึงความตื่นเต้น เร้าใจที่ซ่อนอยู่ใต้คันเร่งอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นี่คือ พละกำลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจาก เครื่องยนต์ที่มีขนาดเพียง 1.5 ลิตร อัตราเร่งในย่านความเร็วต่ำถือว่าทำได้ดี น้ำหนักคันเร่งกำลังพอเหมาะ ไม่หวือหวา หรือกระโตกกระตากเกินไปจนรู้สึกว่าคุมยาก และสร้างความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเข้าสู่ย่านความเร็วสูง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดแต่อย่างใด โดยรวมอาจไม่ได้หวือหวามากมาย แต่ก็ถือว่าไหลได้เรื่อยๆ แบบเหนือความคาดหมาย จนต้องตัดใจยกคันเร่งด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ก็คือ เป็นคาแรกเตอร์การทำงานของชุดเกียร์ CVT ที่เน้นความต่อเนื่องของพละกำลัง เราจึงไม่รู้สึกถึงอาการกระโชกโฮกฮากมากนัก งานนี้ BoxzaRacing บอกได้เลยว่า สำหรับคนที่ชื่นชอบความเร็ว น่าจะถูกอกถูกใจพละกำลังที่ปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์บล็อค 1.5 ลิตร เทอร์โบ 173 แรงม้า ตัวนี้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องอัตราการบริโภค ถือว่าเครื่องยนต์ทั้งสองบล็อค ทำได้แบบน่าพอใจ แม้จะใช้คันเร่งกันแบบโหดๆ แต่อัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอ ก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 14.x กม./ลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว เครื่องยนต์ทั้งสองรุ่น ให้อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงที่ใกล้เคียงกันตามที่โรงงานได้เคลมเอาไว้


          เรื่องการบังคับควบคุมของ Honda Civic FC ทั้งสองรุ่นที่ได้ทดลองขับ แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็ถือว่าออกแบบมาในทิศทางเดียวกัน (ความแตกต่างอยู่ที่เรื่องของน้ำหนักตัวรถ ที่เครื่องยนต์ในรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ จะหนักกว่ารุ่น 1.8 ลิตร ประมาณ 20 กก. อีกทั้งวัสดุที่ใช้ยังมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย โดยรุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ จะใช้บู๊ชช่วงล่างแบบที่มีของเหลวอยู่ภายใน หรือที่เรียกว่า บู๊ชไฮดรอลิคส์ แต่สำหรับรุ่น 1.8 ลิตร จะใช้บู๊ชช่วงล่างแบบปกติ) น้ำหนักพวงมาลัยในย่านความเร็วต่ำถือว่าเซ็ตมาได้ดี เบา สบายสไตล์Honda แต่จะหนักแน่นขึ้นหากใช้ความเร็วในย่านที่สูงขึ้นไป จากการใช้ระบบบังคับเลี้ยวแบบดูอัลพีเนี่ยน ช่วงล่างที่เซ็ทมาในแนวนุ่มหนึบและให้การทรงตัวที่ดีและเฉียบคม ไม่ว่าจะเจอโค้งในรูปแบบไหน ก็สามารถผ่านได้แบบไร้ซึ่งปัญหา โดยเฉพาะสำหรับรุ่น 1.8 ลิตร ที่ตัวรถยังคงนิ่งและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มเปี่ยมในย่านความเร็วสูง ส่วนในรุ่น 1.5 ลิตร อาจรู้สึกว่านิ่มไปสักหน่อย เนื่องจากตัวรถออกแบบมาในแนวพรีเมี่ยมมากขึ้น จึงเซ็ตช่วงล่างมาในแนวทางเช่นนี้ แต่โดยภาพรวม ไม่ถือว่ามีสิ่งอันใดที่ต้องวิตก หากพูดถึงเรื่องสมรรถนะการทรงตัวของ Honda Civic FC 


          นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชม นั่นก็คือ เรื่องของประสิทธิภาพของชุดเบรคที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าพอใจ โดยตอบสนองได้ดีตามแรงที่กดลงไปในแป้นเบรค โดยไม่มีอาการหลอก หรือจับเร็วจนเกินพอดี เรียกได้ว่า ให้น้ำหนักลงไปแค่ไหน ก็พร้อมจะสยบความเร็วได้ในระดับนั้น ให้ความนุ่มนวลและทรงพลังทุกครั้งที่ต้องการพละกำลังในการสยบความเร้าใจอย่างแท้จริงครับ


          คงเป็นความลำบากใจ หากจะต้องฟันธงว่า...รุ่นไหนของ Honda Civic FC เหนือกว่า ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ล้วนๆ เลยล่ะครับ หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องของความคุ้มค่า ไม่ต้องการลูกเล่นอะไรมากมาย รุ่น EL 1.8 ลิตร ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบขีดสุดแห่งเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของเครื่่องยนต์ที่เล็ก แต่ทรงพลัง พร้อมด้วยลูกเล่นสุดล้ำ ที่ทางค่ายอัดมาให้แบบเต็มเปี่ยม โดยไม่เกี่ยงเรื่องของค่าตัว รุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ จัดว่าเป็นที่สุดในคลาสขนานแท้ ที่ยังไม่มีคู่ต่อสู้จากแบรนด์ไหนเหนือกว่าแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูล  : car.boxzaracing.com
เรียบเรียง : Kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

Ford Ranger ใหม่ พิสูจน์ขีดสุดของการลุยน้ำลึก กับบททดสอบในสารคดีชุดเกิดมาแกร่ง

 
          Ford พิสูจน์สมรรถนะการลุยน้ำของ Ford Ranger ใหม่ ด้วยสารคดีชุด "เกิดมาแกร่ง" ตอน แกร่ง...ลุยน้ำลึก ซึ่งได้ทำการทดสอบกันที่สถานีทดสอบยานพาหนะที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีทีมวิศวกรของ Ford ทำการทดสอบที่แอ่งทดสอบการลุยน้ำขนาดความจุ 1.25 ล้านลิตร เพื่อพิสูจน์ความแกร่งของ Ford Ranger ในอุปสรรคสุดท้าทายที่รถกระบะอื่นไม่สามารถก้าวข้ามได้
           "ผู้ขับขี่ Ford Ranger ต้องพบกับการขับขี่ที่ท้าทายในชีวิตจริงทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับข้ามแม่น้ำหรือลุยข้ามน้ำในรูปแบบต่างๆ และเราต้องการพิสูจน์ว่า Ford Ranger จะสามารถรับมือกับบททดสอบสุดหฤโหดเหล่านี้ได้ดีเพียงใด โดยในการทดสอบนั้น ทางทีมได้ทดสอบความสามารถขีดสุดของ Ford Ranger ทั้งการวิ่งผ่านน้ำตื้นด้วยความเร็วสูง ไปจนถึงการลุยน้ำลึก 800 มิลลิเมตร ขณะบรรทุกน้ำหนักเต็มพิกัด" วินซ์ โกวเวอร์ วิศวกร Ford ผู้ดูแลการทดสอบและพัฒนา Ford Ranger กล่าว
 
 
          การที่รถจะสามารถวิ่งผ่านน้ำตื้นด้วยความเร็วสูงได้นั้น ต้องได้รับการออกแบบเป็นอย่างดีในการรักษาให้ส่วนสำคัญของรถไม่ให้โดนน้ำและมีความทนทาน สำหรับชิ้นส่วนสำคัญของ Ford Ranger เช่น ซุ้มล้อด้านในขวาของรถ ซึ่งช่วยป้องกันน้ำเข้าท่ออากาศ รวมถึงช่วงล่างด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบมาให้มีความแข็งแรงต่อกระแทกของน้ำและช่วยกระจายแรงดันจากน้ำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          "ในการขับลุยน้ำด้วยความเร็วสูง เช่นกรณีที่ต้องวิ่งข้ามแม่น้ำหรือแอ่งน้ำโดยไม่คาดคิด แรงกระแทกจากการสัมผัสน้ำครั้งแรกนั้นแรงเสมือนการตอกเสาเข็ม มันสำคัญมากที่ส่วนประกอบต่างๆ ต้องได้รับการติดตั้งอย่างแน่นหนา และสามารถรองรับแรงกระแทกได้ Ford Ranger สามารถขับลุยน้ำสูง 200 มิลลิเมตรด้วยความเร็วสูง พร้อมการบรรทุกเต็มพิกัด ได้อย่างสบาย" โกวเวอร์ กล่าว
 
 
          ห้องเครื่องของ Ford Ranger ได้รับการออกแบบให้รับมือกับการลุยน้ำลึกถึง 800 มิลลิเมตร ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องยนต์ ได้แก่ ท่ออากาศ, ไดชาร์จ และชุดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ จะยังอยู่เหนือน้ำที่ระดับดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหาย และเพิ่มความทนทานต่อการเข้าของโคลน ฝุ่น และทราย นอกจากนี้ อุปกรณ์เชื่อมต่อและโมดูลไฟฟ้าต่างๆ ได้รับการห่อหุ้มถึง 2 ชั้น เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้ยังสามารถทำงานได้เมื่ออยู่ใต้น้ำ บริเวณหม้อกรองอากาศในห้องเครื่องได้รับการติดตั้งวาล์วเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้า
 
 
          "หลังจากที่เราทดสอบ Ford Ranger ในการลุยน้ำที่ความลึก 200 และ 800 มิลลิเมตร พร้อมบรรทุกของหนักเต็มพิกัดหลายรอบโดยไม่หยุด เราได้ทำการทดลองในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือ การจอด Ford Ranger ทิ้งไว้ในน้ำที่ระดับความสูง 800 มิลลิเมตร เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง" โกวเวอร์ กล่าว "เราไม่พบปัญหาเรื่องเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าแม้แต่น้อย และเรายังสามารถขับ Ford Ranger ออกมาได้อย่างสบาย แม้แต่ไฟตัดหมอกก็ยังไม่มีฝาขึ้น"
          Ford Ranger ได้รับการติดตั้งท่อระบายอากาศในระบบส่งกำลังเพื่อส่งอากาศไปยังระบบในเวลาที่ต้องการ และในขณะเดียวกัน ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปรบกวนการทำงานของตัวรถ ท่อรับอากาศบนเฟืองท้าย เกียร์ และกระปุกเกียร์แบ่งกำลัง ยังได้รับการติดตั้งในตำแหน่งที่ช่วยให้ Ford Ranger สามารถขับลุยน้ำลึกที่ 800 มิลลิเมตรได้อย่างสบาย นอกจากนี้ ดีไซน์ที่โค้งมนยังช่วยกันไม่ให้น้ำสาดเข้าไปในท่อรับอากาศเมื่อลุยน้ำตื้นที่ความเร็วสูง และจากผลการทดสอบในครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่า Ford Ranger ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยจากการลุยน้ำพร้อมบรรทุกเต็มพิกัดส่วนหนึ่งยกความดีให้ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ที่ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
 
 
          ความแกร่งของ Ford Ranger ได้รับการพิสูจน์แล้ว แม้กระทั่งในระบบที่ไม่ใช่ระบบการทำงานหลักก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น แตรรถที่สามารถทำงานได้แม้อยู่ใต้น้ำ ด้วยการออกแบบที่ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปรบกวนการทำงาน ถึงแม้จะต้องลุยน้ำที่ลึกถึง 800 มิลลิเมตร ก็ยังสามารถใช้แตรเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่า Ford Ranger กำลังขับผ่านมา
          ท่านสามารถรับชมบททดสอบเจาะลึกความแกร่งในการลุยน้ำของ Ford Ranger จากสารคดีชุด "เกิดมาแกร่ง" ตอน "แกร่ง...ลุยน้ำลึก" ได้ที่ http://www.ford.co.th


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

เตรียมออกกฎหมายจำกัดความเร็วเหลือ 40 กม./ชม. หวังลดอุบัติเหตุ


เตรียมออกกฎหมายจำกัดความเร็วเหลือ 40 กม./ชม. หวังลดอุบัติเหตุ
ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เตรียมผุดมาตรการลดอุบัติเหตุทางถนน ศึกษาแก้กฎหมายควบคุมความเร็วเหลือเพียง 40 กม./ชม. รวมถึงลดค่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์เข้มกว่าเดิม

     ทั้งนี้ การศึกษาแนวทางป้องกันอุบัติเหตุดังกล่าวมีหลากหลาย ทั้งการในเขตเมืองเหลือ 30-40 กม./ชม. จากเดิม 80 กม./ชม. นอกเขตเมืองเหลือ 30-60 กม./ชม. จากเดิม 90 กม./ชม. รวมถึงการลดค่าปริมาณแอลกอฮอล์เหลือเพียง 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากเดิม 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
     นอกจากนั้น ยังเตรียมนำคำสั่ง คสช. ว่าด้วยมาตรการยึดรถและใบขับขี่ นำมาใช้เป็นกฎหมายถาวร ไม่เฉพาะช่วงหน้าเทศกาลเท่านั้น รวมถึงเพิ่มค่าปรับกรณีขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด พร้อมคาดโทษเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเทียบปรับอีกด้วย

     อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการศึกษาแนวทางเท่านั้น ยังไม่มีการนำมาบังคับใช้จริงแต่อย่างใด 

ที่มา : auto.sanook.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ไขข้อสงสัย!?? ถ้าขับรถหลายๆชั่วโมง! หรือวิ่งระยะไกล สามารถดับเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้องวอร์มเครื่องจริงหรือไม่??

เครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบ ไม่ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วรอบสูงเพียงใด เป็นเวลานานแค่ไหน ก็สามารถดับเครื่องยนต์ได้ทันที เพราะระบบระบายความร้อนสมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ต้อง “รอ” เหมือนเครื่องยนต์ติดเทอร์โบ


ระหว่างเดินทางไปต่างจังหวัด ในสถานีบริการริมทาง มักเห็นรถพิคอัพขนส่งมากมายจอดรถโดยไม่ดับเครื่องยนต์ เคยเข้าไปถามคนขับ ได้คำตอบว่า :-
“เครื่องมันร้อนดับเลยไม่ได้ ต้องวอร์มไว้ก่อน”
“ดับทำไมเดี๋ยวก็ไปแล้ว สตาร์ทบ่อยๆ เปลืองน้ำมัน”
หนักสุด คือ “ดับไม่ได้ เดี๋ยวสตาร์ทไม่ติด” ?!?



จะมีสักกี่คนที่รู้จริง ว่าเพราะอะไร? พิคอัพส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเกือบทั้งหมด เพราะให้แรงบิดที่ดี เหมาะกับการบรรทุก ถ้าวิ่งเร็ว เทอร์โบก็ทำงานเกือบตลอด เมื่อถึงที่หมายไม่ควรดับเครื่องทันที ไม่ใช่เพราะเครื่องยนต์ร้อน แต่เพราะเทอร์โบมันร้อน (มาก) ต่างหาก ส่วนเปลืองน้ำมัน กับสตาร์ทไม่ติด นี่ผมว่าไม่เกี่ยวกันนะ! เหตุผลเดียวของเรื่องนี้อยู่ที่ “เทอร์โบ” หรือระบบอัดอากาศนั่นเอง เทอร์โบมีหน้าที่อัดอากาศไปยังห้องเผาไหม้ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ โดยนำเอาไอเสียส่วนหนึ่งจากเครื่องยนต์กลับไปใช้ใหม่ เมื่อใดที่เร่งเครื่องยนต์ด้วยรอบสูงนานๆ โข่งไอเสียฝั่งขาออกจะร้อนจัด (ถ้ามองตอนกลางคืนได้ จะเห็นเป็นสีแดงเรื่อๆ) วิศวกรจึงต้องออกแบบให้น้ำมันเครื่องส่วนหนึ่ง วิ่งวนไปเลี้ยงแกนเทอร์โบ เพื่อหล่อลื่นและระบายความร้อน ในรถบางรุ่นอาจใช้น้ำจากหม้อน้ำมาช่วยระบายความร้อนอีกแรง (แต่รถส่วนใหญ่ไม่มี)


ลองนึกดูครับ ถ้าเราดับเครื่องยนต์ทันที ความร้อนที่สะสมอยู่ในเทอร์โบจะสูงมาก จนน้ำมันเครื่องที่ค้างอยู่ในแกนเทอร์โบไหม้ได้ เพราะระบบไม่หมุนเวียนเนื่องจากเครื่องยนต์ดับ แบบนี้เทอร์โบย่อมชำรุดเสียหายได้มาก แต่ถ้าเรายังไม่ดับเครื่องในทันที จอดนิ่งๆ ให้เครื่องยนต์อยู่ในรอบเดินเบาราว 3-5 นาที (แล้วแต่ความสามารถในการระบายความร้อน) รอให้อุณหภูมิในเทอร์โบลดลงแล้วจึงดับเครื่อง ก็ไม่เกิดความเสียหาย หรือถ้าจำเป็นต้องดับเครื่องยนต์จริงๆ และรู้ตัวว่าอีกประมาณ 5-10 นาทีจะถึง ให้ลดความเร็วลง แล้วใช้เกียร์สูงสุด ด้วยความเร็วคงที่ประมาณ 60-80 กม./ชม. เมื่อถึงที่หมาย เทอร์โบจะเย็นลง แล้วสามารถดับเครื่องยนต์ได้ทันที สำหรับเครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบ ไม่ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วรอบสูงเพียงใด เป็นเวลานานแค่ไหน ก็สามารถดับเครื่องยนต์ได้เลยทันทีครับ เพราะระบบระบายความร้อนต่างๆ สมบูรณ์ลงตัวอยู่แล้ว ดังนั้น ใครรู้ตัวว่ารถไม่มีเทอร์โบก็ดับเครื่องได้เลยทันที ทุกที่ ทุกเวลาครับ ส่วนรถใครมีเทอร์โบ ถ้าขับแบบปกติ เท้าไม่หนักเกินไป ก็ดับได้เลยเช่นกัน

ข้อมูล : motorexpo.co.th/blog/1225
เรียบเรียง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


ยลโฉม ดีแมคซ์’เซนจูเรียน’ ครบรอบ100ปี’อีซูซุ’



ในโอกาสพิเศษครบรอบ 100 ปี อีซูซุ มอเตอร์ส (ISUZU Motors) ผู้จำหน่าย อีซูซุ อังกฤษ เผยรุ่นพิเศษ อีซูซุ ดีแมคซ์ เซนจูเรียน (ISUZU D-MAX Centurion) โดยนำ ดี-แมคซ์ (D-MAX) 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาตกแต่งพิเศษด้วยล้ออัลลอยลายพิเศษ แบล็ก แอนด์ ซิลเวอร์ เฮอร์ริเคน (Black and silver Hurricane) ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางพิเรลลิ สกอร์เปียน ซีโร (Pirelli Scorpion Zero) ขนาด 19 นิ้ว ชุดแต่งสเกิร์ตและหลังหน้าลายเดียวกับ อีซูซุ ดี-แมคซ์ เอ็กซ์ซีรีส์ (ISUZU D-MAX X-Series) สเปกไทย บันได้ข้างโครเมียมดีไซน์พิเศษ สปอร์ตบาร์พร้อมฝาปิดกระบะท้าย และราวหลังคาใหม่ ไฟ เดย์ไทม์ (Daytime) แบบแอลอีดี (LED)

โชว์รูม1

ภาย ในชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ลวดลายพิเศษ พวงมาลัยพร้อมที่พักแขนบนคอนโซลกลางหุ้มหนัง ชุดชายล่างขอบประตูสเตนเลสพร้อมไฟเรืองแสง พรมปูพื้น ลวดลายพิเศษ ระบบความบันเทิงจากอัลไพน์ (Alpine) ประกอบด้วยเครื่องเล่น DVD พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ลำโพง 6 ตัว พร้อม แอคทีฟ ซับวูฟเฟอร์ (active subwoofer) จอเพดานขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมหูฟังแบบไวร์เลส (wireless) และกล้องมองหลัง

โชว์รูม2

ขุม พลังเครื่องดีเซลคอมมอนเรลเทอร์โบคู่ขนาด 2.5 ลิตร 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,400-2,000 รอบ/นาที ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบทรอนิก (Tronic) +/- พร้อมความปลอดภัย เช่น ระบบเบรก ABS EBD ถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบคัน พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว ESC ป้องกันการลื่นไถล TCS รองรับการลากจูง 3.5 ตัน

โชว์รูม7

อี ซูซุ ดีแมคซ์ เซนจูเรียน มีจำนวนจำกัดเพียง 100 คัน ในราคา 30,999 หรือประมาณ 1,547,000 บาท ส่วนเมืองไทยมี อีซูซุ ดี-แมคซ์ วี-ครอสส์ ลิมิเต็ด (ISUZU D-MAX V-Cross Limited) เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ (Ddi Blue Power) 177 แรงม้า พร้อมชุดแต่งพิเศษรอบคัน ราคาเริ่มต้น 1,020,000 บาท รุ่นเกียร์ธรรมดา และ 1,065,000 บาท รุ่นเกียร์อัตโนมัติ เรฟโทรนิก (Revtronic) 6 สปีด เพียง 300 คัน

โชว์รูม3

ข้อมูล : matichon.co.th
เรียบเรียง : Kcycar.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

จ่อปรับ!! คมนาคมจัดระเบียบ “ใบขับขี่ใหม่” บังคับผ่านข้อเขียน100% ต่ออายุสอบด้วยหวังลดอุบัติเหตุ หลังเห็นยอดผู้เสียชีวิตช่วงสงกรานต์พุ่งหนักกว่าทุกปี

page345213dsrgt

เมื่อวันที่ 19 เมษายน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กำชับให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการออกใบอนุญาตขับขี่รถทุกชนิดให้แก่ผู้ขับขี่โดยจะต้องรัดกุมมากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานการขับขี่บนท้องถนนให้ดีขึ้น เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาพบว่ายังมีจำนวนอุบัติเหตุเกิดขึ้นจำนวนมาก ยอดผู้เสียชีวิตยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่ยังมีปัญหาเมาเหล้า หลับใน และขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยนายกฯเร่งรัดให้ดำเนินการเร่งด่วนภายใน 3 เดือน

323502
นายอาคมกล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการไปยังกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ให้กลับไปทบทวนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับออกใบอนุญาตขับขี่รถทุกประเภทให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น อาจจะปรับเกณฑ์การวัดผลการสอบใบขับขี่จาก 90% เป็น 100% โดยต่อไปผู้สอบจะต้องทำคะแนนสอบให้ได้เต็ม 100% จากจำนวนข้อสอบ 50 ข้อ กรมจึงจะพิจารณาออกใบอนุญาตขับขี่ให้ ซึ่งปัจจุบันกำหนดเกณฑ์การสอบผ่านไว้ที่ 90% ส่วนการต่อใบอายุการขับขี่ในอนาคตอาจจะต้องกำหนดให้มีการสอบข้อเขียนใหม่ด้วย จากปัจจุบันที่อบรมอย่างเดียว นอกจากนี้ จะออกกฎข้อบังคับให้ผู้ที่จะยื่นขอใบอนุญาตขับขี่จะต้องได้รับใบประกาศนียบัตรอบรมสอนขับขี่รถยนต์จากโรงเรียนสอนขับรถที่เป็นไปตามมาตรฐานของกรมด้วย หากไม่มีใบประกาศนียบัตรกรมจะไม่ออกใบอนุญาตขับขี่ให้ รวมทั้งจะประสานให้โรงเรียนสอบขับรถเอกชน หันมาใช้หลักสูตรการอบรมขับขี่ของกรมแทนหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้การขับขี่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

test
“กรมขนส่งจะต้องกลับไปแก้ระเบียบเกี่ยวกับการออกใบขับขี่ให้เข้มข้นขึ้น ต้องทำให้ผู้ขับขี่รับรู้ และเข้าใจ กฎ และกติกาการขับขี่ที่ถูกต้องและมีวินัยในการขับรถให้มากขึ้น เพราะพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงอันตราย เมา หลับ และขับเร็ว เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมพยายามที่จะแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยทางกายภาพเรื่องของมาตรฐานถนนที่ปลอดภัยขึ้น ส่วนบทลงโทษกรณีฝ่าฝืนกฎหมายอัตราโทษขณะนี้ยังน้อยเกินไป กรมจะต้องกลับไปพิจารณาเพิ่มโทษให้หนักขึ้น โดยจะต้องมีโทษอาญาด้วย” นายอาคมกล่าว

title15

นายอาคมกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุว่า จะหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมให้นำคำสั่ง คสช.ที่เกี่ยวกับการยึดรถและยึดใบขับขี่บังคับใช้เป็นกฎหมาย เพื่อให้เอาผิดกับผู้ที่เมาแล้วขับ โดยจะเร่งรัดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ออกกฎหมายให้ทันเทศกาลต่อไปนั้น กระทรวงได้รับเรื่องดังกล่าวมาพิจารณาแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวได้ผลดีช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุได้มาก เบื้องต้นกระทรวงจะเร่งแก้ไขปัญหารถจักรยานยนต์ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเกิดอุบัติเหตุสูงสุด โดยได้สั่งการให้ ขบ.เร่งเข้าไปแก้ไขปัญหา เนื่องจากขณะนี้พบว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทั่วประเทศจำนวน 20 ล้านคน มีใบขับขี่ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียง 50% หรือ 10 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งจะต้องเร่งกวดขัน จับกุม และจัดระเบียบโดยเร็ว



คันเร่งค้าง อย่าดับเครื่อง !!! ดับทำไม ในเมื่อมีวิธีที่ไวกว่า และปลอดภัยกว่า จำง่ายๆ ดังนี้...


stop_2015_00B
พี่น้องสื่อมวลชน สายเก่า สายใหม่ ทั้งสายแม็กกาซีนและสื่อออนไลน์ ช่วยกันพูด
ย้ำแล้วย้ำอีก พูดกันจนคอแตกคอแห้งกำกิกเผี่ยงเอาไม่อยู่หรือเขียนกันจนเมื่อยมือ
ท่านผู้อ่านจำนวนมากที่ติดตามพวกเรามาตลอดก็ช่วยกันแชร์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
แต่จนแล้วจนรอด พวกเนื้อหาจาก Forward Mail หลอกผู้ใหญ่ (ขอใช้คำว่าหลอกผู้ใหญ่
เพราะใช้ “หลอกเด็ก” เหมือนโทษเด็กทั้งๆที่เนื้อหาพวกนี้นั้นถูกขยายและโหมแชร์
โดยผู้ใหญ่เสียเป็นส่วนมาก) ดังนั้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ผมขอเขียนไว้ตรงนี้
เพื่อช่วยพี่น้องสื่อมวลชนสายรถยนต์อีกแรงนึงในการช่วยไม่ให้มีคนเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น!

คันเร่งค้าง อย่าดับเครื่อง! ดับทำไมในเมื่อมีวิธีที่ไวกว่าและปลอดภัยกว่า จำง่ายๆดังนี้
1. ผลักไปเกียร์ว่าง
stop_2015_03B
การผลักไปเกียร์ว่าง คือการตัดไม่ให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังเกียร์ (ซึ่งเกียร์ก็คือสิ่งที่
ส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อรถของท่าน การผลักไปเกียร์ N (เกียร์ว่าง) นั้นหากท่าน
ลองทำเล่นๆกับรถของท่านดูจะพบว่ามันสามารถผลักไปตรงๆได้โดยไม่ต้องกดปุ่ม
ที่หัวเกียร์ แล้วจะไม่เลยไปถึงเกียร์ R (ถอยหลัง) ด้วย
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
เมื่อคันเร่งยังค้างอยู่ แล้วตบไปเกียร์ว่าง รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูง ไม่ต้องตกใจ
เครื่องยนต์หัวฉีดสมัยใหม่ (ตั้งแต่ประมาณปี 1990 เป็นต้นมา) มีโปรแกรมที่คอย
จำกัดการทำงานของรอบเครื่องอยู่แล้ว อย่างรถตัวอย่างนี้คือ Honda Civic ปี 04
หากอยู่ในเกียร์ว่างแล้วคันเร่งถูกกดไม่ว่าจะลึกแค่ไหน รอบจะตีไม่เกิน 5,000
.
2. เบรกและพยายามเอารถเข้าข้างทางอย่างปลอดภัย
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
หลังจากเข้าเกียร์ N ตัดกำลังไม่ให้เครื่องส่งไปที่เกียร์แล้ว ทีนี้ก็เบรก
แต่ในการเบรกนั้น ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยรอบตัวด้วย ไม่ใช่ว่า
คันเร่งค้างปุ๊บ ตบเกียร์ N แล้วเบรกหัวทิ่มทันที อันนี้ก็เจ็บตัวได้เหมือนกัน
ในการเบรก ถ้าข้างหน้ามีรถติดอยู่เป็นแพ ไม่มีที่เบรก หรือสมมติว่าเป็น
ทางม้าลายที่เด็กนักเรียนกำลังข้ามกันเป็นสิบ อย่างนี้ค่อยเบรกสุดตัว
หากจำเป็นต้องเบรกรุนแรงมากๆ พยายามประคองรถให้ดี พวงมาลัยให้
ใกล้เคียงตำแหน่งตรงที่สุด เพราะถ้าหากกระแทกเบรกแรงๆตอนรถกำลัง
เลี้ยวโค้ง ตัวรถอาจเสียการทรงตัว หมุนคว้างได้
แต่หากข้างหน้าไม่มีรถติด และมีเนื้อที่ปลอดภัยพอสำหรับการหยุดรถ
ก็ให้เบรกชะลอลง มองหาขอบทางว่าตรงไหนพอจะจอดได้อย่างปลอดภัย
ก็ให้ปล่อยรถไหล/สลับกับเบรก ให้รถไปหยุดอยู่ตรงนั้นพอดิบพอดี
จากนั้นค่อยดับเครื่อง แล้วจะสำรวจพรมผ้ายางขัดคันเร่ง สำรวจห้องเครื่อง
สายคันเร่ง, โทรเรียกช่าง เรียกรถยก โทรหาแฟนเรียกขวัญและกำลังใจ
ก็ว่าไป
จำง่ายๆ แค่ 3 อย่าง
1. อย่าดับเครื่อง (โว้ย)
2. เข้าเกียร์ N (เกียร์ว่าง) ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็เหยียบคลัตช์แล้วปลดมาเกียร์ว่าง
3. เบรกโดยคำนึงถึงความปลอดภัย ถ้ามีระยะเหลือๆก็ไม่ต้องเบรกให้ตัวโก่ง
ลองดูคลิปนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ครับหากต้องการเห็นภาพ
ถาม/ตอบเพิ่มเติม:
1. ทำไมถึงไม่ควรดับเครื่องเมื่อคันเร่งค้างทั้งๆที่เป็นการตัดกำลังเครื่องยนต์ที่ชัวร์มาก?
– การดับเครื่องยนต์ไม่ได้ตัดแค่กำลังเครื่อง แต่ยังส่งผลให้ระบบผ่อนแรงพวงมาลัย
และระบบผ่อนแรงเบรกหยุดการทำงานตามไปด้วย พวงมาลัยจะหนักขนาดไหน?
ลองสตาร์ทรถ หมุนพวงมาลัยเล่น หมุนต่อไปเรื่อยๆอย่าหยุด ไปๆมาๆ จากนั้นดับเครื่อง
เห็นมั้ยครับว่ามันหน่วงมือขนาดไหน ส่วนเบรกจะหนักขนาดไหน ก็ลองดูได้ครับ
หาที่โล่ง ไม่เอาซอยนะ ในซอยบางทีมีเด็กวิ่งตัดหน้า จะซวยฟรี หาที่โล่งๆ เร่งรถ
แล้วดับเครื่อง แล้วลองพยายามเบรกดูสิครับ หนักไหม
รถบางรุ่น ถ้าหมุนกุญแจกลับ พวงมาลัยจะล็อค หมุนไม่ได้ บางรุ่นต้องดึงกุญแจออก
จึงจะล็อค ในนาทีวิกฤติ มีเวลามาลองมั้ย? รถบางคัน และหลายคันสมัยนี้ที่ใช้ปุ่มสตาร์ท
คุณกดปิด Off ตอนวิ่งอยู่ รถไม่ดับให้ก็มี บางรุ่นต้องกดค้าง 3 วินาทีถึงจะดับ ถึงเวลา
หัวเลี้ยวหัวต่อจะคิดได้หรือไม่?
2. ถ้าเข้าเกียร์ N แล้วรอบดีดขึ้นสูง เครื่องจะไม่พังหรือ?
– เครื่องยนต์หัวฉีดรุ่นใหม่ มีโปรแกรมสั่งจำกัดการทำงานรอบเครื่องไม่ให้เกินพิกัด
ที่เครื่องจะทนไหวอยู่แล้ว อย่างมากเข็มวัดรอบก็ไปดิ้นๆอยู่แถวๆขีดแดง ดีดๆอยู่แค่
ไม่ถึงสิบยี่สิบวินาทีเครื่องไม่พังหรอกครับ
รถติดแก๊สบางคัน อาจจะมีผลบ้าง เพราะบางคันที่ผมเจอมา พอตัดไปใช้แก๊สแล้ว
ไม่มีการตัดรอบเครื่องก็มี เคสนี้เครื่องก็อาจพัง แต่คุณเลือกได้ว่าอย่างให้เครื่องพัง
หรือร่างกายคุณกับชีวิตครอบครัวการงานที่เหลืออยู่พัง
3. คันเร่งค้างเกิดจากอะไรได้บ้าง?
– ผ้ายาง พรม ไปขัดหรือขวางทางคันเร่ง นี่คือสาเหตุตัวแม่เลยครับ ผมเองก็เคยเจอ
มาแล้วกับรถ BMW E30 วางเครื่อง SR ตอนไปลองรถกับรุ่นน้อง กดคันเร่งเต็มไป
แล้วจู่ๆพรมสไลด์เข้ามาอัดที่ฐานคันเร่ง คันเร่งดีดกลับได้แค่ครึ่งทาง ผมตกใจอยู่นาน
เพราะตอนนั้นยังวัยรุ่นมาก แต่พอรู้ว่าค้างก็เหยียบคลัตช์ เข้าเกียร์ว่าง เบรกทัน
นอกจากนี้ในรถเก่าที่เป็นคันเร่งแบบสาย บางครั้งก็มีเรื่องสายคันเร่งฝืด ขยับตัวกลับ
ได้ไม่ดีพอ อันนี้ก็เคยเจอเหมือนกันกับรถของคนรอบข้าง และไม่ใช่รถเก่าขนาดนั้น
เป็นรถปี 96-98 นี่เอง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบการทำงานของสายคันเร่งเสมอ
เหยียบ ปล่อย เหยียบ ปล่อย (ตอนดับเครื่องนะ) แล้ววานให้อีกคนช่วยดูการคืนตัว
ของสายคันเร่งจากหน้ากระโปรงรถว่ามีอาการติดขัดมั้ย
อย่ามองแค่ว่า เข้าศูนย์รถเป็นประจำแล้วช่างจะเช็คให้ เพราะบางครั้งช่างก็ไม่ได้เช็ค
ให้คุณไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะศูนย์ที่คิวเยอะมากๆช่างต้องรีบทำ รีบปล่อยรถออก
4. แล้วบริษัทรถไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันเหตุนี้เลยหรือ?
– อันที่จริงบางเจ้าทำมานานแล้ว แต่ไม่ได้เอามาป่าวประกาศโฆษณากัน สำหรับ
รถใหม่ป้ายแดงบางรุ่นจะโปรแกรมกล่องควบคุมเอาไว้ว่า ถ้าหากคันเร่งกับเบรก
ถูกเหยียบพร้อมกัน (หรืออาจไม่ได้เหยียบคันเร่ง แต่ลิ้นคันเร่งค้างหรือขัดข้อง)
เมื่อไหร่ รถจะสั่งให้ปิดลิ้นคันเร่งไฟฟ้าของเครื่องยนต์โดยที่ไม่ได้ดับเครื่อง
เรียกว่าระบบ Brake Override System ซึ่งพบใน Toyota รุ่นใหม่ๆ และ Subaru
ส่วนยี่ห้ออื่นก็อาจจะมี แต่ผมยังไม่ได้ลองเองกับมือครับ ของ Subaru นี่ลองแล้ว
ถ้าหากเหยียบทั้งเบรกและคันเร่งพร้อมกัน ภายในเวลาราว 2 วินาที รถจะชะลอลง
ลิ้นคันเร่งถูกตัดการทำงาน แต่เครื่องจะยังติดอยู่ เบรกได้ปลอดภัย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

เตรียมรถให้พร้อมใช้ ปลอดภัยก่อนเที่ยวสงกรานต์

         การเตรียมรถก่อนเดินทางเที่ยวช่วงสงกรานต์ มีวิธีการไม่แตกต่างการเตรียมรถเดินทางไกลต่างๆ เพียงแต่อาจจะต้องดูเพิ่มพิเศษขึ้นหน่อย เพราะช่วงนี้อากาศจะร้อนมาก ย่อมส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์รถยนต์หลายๆ อย่าง และแน่นอนสิ่งสำคัญของการเตรียมรถเดินทางไกล คือเรื่องของอุปกรณ์ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยขณะขับรถ

วิธีเอาตัวรอดบนนถนน ถ้าคิดจะขับรถเที่ยววันสงกรานต์-2

1. ระบบเบรก ตรงนี้ต้องมาดูผ้าเบรก และจานเบรก ซึ่งใครที่เข้าศูนย์ตรวจเช็คประจำ ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เขาจะแจ้งอยู่แล้วว่า ผ้าเบรกใกล้หมดหรือเหลือเท่าไหร่ และจานเบรกเป็นอย่างไร ควรจะเปลี่ยนแล้วหรือไม่? แต่หากไม่ค่อยได้ตรวจเช็ค ลองสังเกตอาการถ้าเบรกสั่นไม่นิ่ง กระเด้งนิดหน่อย หรือเหยียบเบรกแล้วลื่น และลองฟังเสียงดูมีดังแปลกๆ หากเป็นแบบนี้ต้องเข้าไปตรวจเช็ค ทำการเปลี่ยนแก้ไขก่อนเดินทาง

2. ระบบรองรับน้ำหนัก ต้องตรวจสอบสภาพยางรถ ว่าแข็งกระด้าง เสียงดัง ไม่ยึดเกาะถนน เวลาเข้าโค้งลื่นไถล ซึ่งเป็นสาเหตุของยางหมดสภาพ หรือดูดอกยางหมด และแก้มยางบวมหรือไม่? หากพบไม่ควรใช้ยางที่มีสภาพดังกล่าวอีกต่อไป ยางจะต้องมีสภาพดีและเหลือเนื้ออยู่พอสมควร เพราะการเดินทางไกลจะต้องใช้ความเร็วสูง และยางมีส่วนในการช่วยหยุดรถให้มีประสิทธิภาพขึ้น หากยางเสื่อมย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง และต้องทำการตรวจลมยางก่อนเดินทาง อย่าอ่อนหรือแข็งเกินไป ต้องเติมลมยางให้เหมาะสม ตามคู่มือแนะนำหรือที่ระบุไว้ตรงประตูข้างคนขับด้านใน อาจจะเกินได้นิดหน่อย แต่หากยางนิ่มไปหรือต่ำกว่ากำหนด จะทำให้ยางร้อนเกิดระเบิดได้

นอกจากนี้ต้องตรวจสอบระบบช่วงล่าง เวลาวิ่งมีการทรงตัวเสถียรดี เข้าโค้งแรงๆ ควบคุมได้หรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบพวกบูชปีกนก หรือบูชลิงก์ต่างๆ และความหนืดของโช๊คอัพผิดปกติไหม ลองให้คนแข็งแรงออกแรงกดรถทีละด้าน การเด้งคืนของรถจังหวะเดียวถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ากระเด้งหลายจังหวะ หรือสะดุด ควรนำรถไปให้ช่วงตรวจดู

  3. ระบบหล่อเย็น จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่คนมองข้ามเช่นกัน ควรต้องดูระดับน้ำในหม้อน้ำ/หม้อพักน้ำ อยู่ในระดับหรือไม่ และถ้าไม่เคยเปลี่ยนน้ำเกิน 2 ปี ควรจะต้องทำการเปลี่ยน โดยสัดส่วนระหว่างน้ำกับน้ำยา 70 : 30 และตรวจสอบฝาหม้อน้ำต้องปิดให้สนิท เพราะจะส่งผลต่อการรักษาแรงดัน ช่วยควบคุมจุดเดือดของน้ำ นอกจากนี้ควรจะเช็คการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ ติดเครื่องดูการทำงานของพัดลมยังดีอยู่หรือเปล่า เพราะพวกนี้หากทำงานไม่ดีจะส่งผลทำให้เครื่องยนต์ร้อน และยิ่งบวกอากาศร้อนจัดในเดือนเมษายนเช่นนี้ ซึ่งถ้าเกจ์วัดความร้อนขึ้นอย่าฝืนขับเด็ดขาด จะทำให้ฝาสูบโก่ง กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเงินซ่อมเยอะเลยล่ะทีนี้

4. เครื่องยนต์ จริงๆ น่าจะเป็นสิ่งที่รู้ความผิดปกติง่ายมากที่สุด เพราะมีการใช้งานอยู่เป็นประจำ ดังนั้นหากเห็นความผิดปกติจะต้องแก้ไขก่อนเดินทางไกล เพราะหากเครื่องยนต์เสียระหว่างทาง แทนที่จะได้ไปท่องเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์ กลับต้องเสียเวลาอยู่ระหว่างทางเปล่าๆ

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่จะต้องตรวจเช็ค อย่างระบบบังคับเลี้ยว แบตเตอรี่ และระบบแอร์ที่หากไม่เย็นหรือไม่ทำงาน อากาศร้อนอย่างนี้หมดสนุกแน่ และที่สำคัญอีกอย่างใบปัดน้ำฝน และที่ฉีดน้ำล้างกระจก แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ช่วงสงกรานต์โดนน้ำ หรือน้ำแป้งอยู่ตลอดเวลา หากไม่เตรียมพร้อมเรื่องนี้แย่แน่ๆ หรือแม้แต่ระบบไฟส่องสว่างต่างๆ เพราะเดินทางไกลบางทีก็ออกเวลากลางคืน หรือบางทีรถติดมากๆ ทำให้การเดินทางลากยาวถึงกลางคืน ซึ่งสิ่งนี้สามารถตรวจสอบได้เองอยู่แล้ว
ที่มา : manager.co.th
ภาพ : frank.co.th


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

สงกรานต์นี้อีสานหมดห่วง!! สิงรถบรรทุกนับหมื่นคันพร้อมใจหยุดให้พี่น้องคนบ้านเดียวกันเดินทางได้โล่ง





20
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. นายขวัญชัย ติยะวานิช นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน กล่าวว่า ปัจจุบันสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน มีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการด้านรถบรรทุก และขนส่ง อยู่ทั้งสิ้น 910 ราย มีรถบรรทุกที่อยู่ในความรับผิดชอบ กว่า 10,000 คัน ซึ่งทุกช่วงเทศกาลที่สำคัญๆ ที่มักมีประชาชนใช้รถใช้ถนนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทางสมาคมฯ ก็ได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ ให้งดการเดินรถในช่วงดังกล่าว เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยลดการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน
141040273210lorcom1

ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ทางสมาคมฯ ก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการรถบรรทุก ว่าในระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. ทางผู้ประกอบการรถบรรทุก จะหยุดเดินรถเกือบทั้งหมด ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ คงจะมีรถบรรทุกที่ยังเดินรถอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกที่ขนส่งเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ และรถบรรทุกที่ขนส่งอาหารอุปโภค บริโภค และที่จำเป็น ซึ่งอาจจะไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์  ของจำนวนรถบรรทุกทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดการจราจรติดขัด และช่วยให้ประชาชนสัญจรกลับมาฉลองเทศกาลสงกรานต์กับครอบครัวอย่างมีความสุข
201604061357503-20041020133743
นายขวัญชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของการดูแลและควบคุมพนักงานขับรถบรรทุก ตนกำชับให้พนักงานขับรถบรรทุกที่จะต้องขับรถในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ต้องมีการพักผ่อนที่เพียงพอ เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาในการขับรถบรรทุกนานขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า ซึ่งอาจทำให้คนขับมีอาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้า จนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงขอความร่วมมือสมาชิกให้เน้นการตรวจวัดแอลกฮอลล์ หรือสารเสพติดของคนขับรถบรรทุก เพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่เดินทางด้วย

ที่มา THAIJAM

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook