เงื่อนไข การสอบใบขับขี่ใหม่ กันยายน 2558 นี้

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ( 27 เม.ย. 58 ) ออกมาเผยแพร่เกี่ยวกับเงื่อนไขการขอใบอนุญาตขับรถใหม่ โดยระบุว่าผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบขับขี่นั้น ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถสามล้อ รถจักรยานยนต์ จะได้ใบขับขี่แบบชั่วคราว นอกจากนี้ ต้องเข้าอบรมเสริมสร้างพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนนไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง โดยมีผลบังคับใช้ใน วันที่ 1 กันยายน 2558 นี้


โดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2557 อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกําหนดเงื่อนไขในการพิจารณาการออกใบอนุญาตขับรถ สําหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถไว้ ดังต่อไป

เงื่อนไข การสอบใบขับขี่ใหม่ กันยายน 2558 นี้
ข้อ 1 การขอรับใบอนุญาตขับรถสําหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ซึ่งมิใช่จากเหตุขาดคุณสมบัติเรื่องอายุของผู้ขอใบอนุญาตขับรถ ต้องพ้นกําหนดสามปีไปแล้วนับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
ข้อ 2 ผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถดังต่อไปนี้ หากประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับรถครั้งใหม่ ต้องเริ่มจากการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว แล้วแต่กรณี เว้นแต่การขอรับใบอนุญาตขับรถบดถนน ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ หรือใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นตามมาตรา 43 (9)ให้ขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดเดิมที่เคยถูกเพิกถอน
(1) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
(2) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว
(3) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
(4) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
(5) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
(6) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
(7) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
(8) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลตลอดชีพ
(9) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
(10) ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
(11) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ
(12) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
ข้อ 3 การขอรับใบอนุญาตขับรถตามข้อ 2 ให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียนตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกําหนด ณ สํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสํานักงานขนส่งจังหวัด แล้วแต่กรณีโดยผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถต้องเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมสร้างจิตสํานึกและปรับพฤติกรรมการขับรถ ณ ที่ทําการของนายทะเบียนที่ยื่นคําขอ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง
ข้อ 4 การออกใบอนุญาตขับรถสําหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ให้ดําเนินการตามระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการดําเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถและบัตรประจําตัวคนขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการอบรมและทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ และผู้ขอรับบัตรประจําตัวคนขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ด้วย
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป
 ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558
ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก

ขอบคุณข้อมูล เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา / ภาพ mcot

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

ใครถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ แล้วต้องการขอใหม่



วันนี้   ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘  ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่  ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการพิจารณาการออกใบอนุญาตขับรถ สำหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ๒๕๕๘

ประกาศระบุว่า  อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๖ (๙) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๗ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกำหนดเงื่อนไข ในการพิจารณาการออกใบอนุญาตขับรถ สำหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ การขอรับใบอนุญาตขับรถสำหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ซึ่งมิใช่จากเหตุ ขาดคุณสมบัติเรื่องอายุของผู้ขอใบอนุญาตขับรถ ต้องพ้นกำหนดสามปีไปแล้วนับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

ข้อ ๒ ผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถดังต่อไปนี้ หากประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับรถ ครั้งใหม่ ต้องเริ่มจากการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อ

ส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว แล้วแต่กรณี เว้นแต่การขอรับ ใบอนุญาตขับรถบดถนน ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ หรือใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นตามมาตรา ๔๓ (๙) ให้ขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดเดิมที่เคยถูกเพิกถอน

(๑) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
(๒) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว
(๓) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
(๔) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
(๕) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
(๖) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
(๗) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
(๘) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลตลอดชีพ
(๙) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
(๑๐) ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
(๑๑) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ
(๑๒) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ

ข้อ ๓ การขอรับใบอนุญาตขับรถตามข้อ ๒ ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนตามแบบที่กรมการขนส่ง ทางบกกำหนด ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด แล้วแต่กรณี โดยผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถต้องเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมสร้างจิตสำนึกและปรับพฤติกรรม การขับรถ ณ ที่ทำการของนายทะเบียนที่ยื่นคำขอ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง


ข้อ ๔ การออกใบอนุญาตขับรถสำหรับผู้ที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ให้ดำเนินการ ตามระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถและบัตรประจำตัว คนขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอบรมและทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ และผู้ขอรับ บัตรประจำตัวคนขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ด้วย

ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก


ที่มา : matichon.co.th


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

พลังงานจ่อยกเลิก โซฮอล์ 91 ดันคนใช้ 95 แทน

  



        กระทรวงพลังงาน เล็งปรับโครงสร้างราคาแก๊สโซฮอล์ 91 เท่ากับ 95 หวังผู้บริโภคหันไปใช้ 95 แทน ก่อนยกเลิก 91 เพิ่มหัวจ่ายใช้เอทานอล ยันไม่กระทบคนขับมอเตอร์ไซค์ ชี้จะได้ของดีแต่ราคาถูกกว่าเดิม
              วันนี้ (27 เมษายน 2668) นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างจัดทำแผนน้ำมัน 20 ปี ซึ่งเป็นแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงภาพรวมและสอดรับกับแผนพลังงานทดแทน โดยแผนหนึ่งที่จะต้องพิจารณาคือ การยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (ข้อมูลเมื่อวันที่ 26 เมษายน ราคา 27.68 บาท/ลิตร) ซึ่งเบื้องต้นสามารถดำเนินการได้ทันทีด้วยการทำโครงสร้างราคาแก๊สโซฮอล์อี 10 คือ แก๊สโซฮอล์ 91 ให้เท่ากับแก๊สโซฮอล์ 95 (ราคา 28.50 บาท/ลิตร) เพื่อให้ผู้บริโภคหันไปเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 แทนทั้งหมด

              ซึ่งการยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 เพื่อเพิ่มหัวจ่ายในการขยายการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น จึงมีแนวคิดว่าหากทำราคาแก๊สโซฮอล์อี 10 ให้เท่ากัน เชื่อว่าคนก็จะหันไปใช้ของดีราคาถูกแทน ส่วนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ต้องกังกลเพราะจะได้ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ในราคาถูกกว่าเดิม จะไม่มีปัญหาเหมือนที่อดีตเคยมองว่าหากยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 จะกระทบกับผู้ใช้รถกลุ่มนี้ซึ่งไม่ใช่เลย

              นายวิฑูรย์ เผยว่า จากการหารือกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันถึงแนวทางการยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 ได้ขอเวลาปรับตัว 3 ปี เนื่องจากจะมีปัญหาต้องปรับปรุงกระบวนการกลั่นน้ำมันเบนซินพื้นฐานหรือจีเบส ให้พร้อมรองรับในการนำเอทานอลมาผสมเบนซินให้เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 แทน อย่างไรก็ตาม หากจะดำเนินการทันทีก็สามารถทำได้ แต่จะต้องมีการสั่งนำเข้าสารอะโรเมติกส์บางชนิดมาผสม ซึ่งมีภาษีศุลกากร จึงต้องไปหารือก่อน 

              นอกจากนี้ยังหารือกับโรงกลั่นถึงการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในระยะยาวว่าควรเป็นทิศทางใด ซึ่งจากการหารือกลุ่มโรงกลั่นมีความเห็นว่า การสำรองน้ำมันเพิ่มนั้นควรจะเป็นหน้าที่ของรัฐมากกว่า เพราะหากเป็นเอกชนจะเป็นภาระและในที่สุดจะผลักไปยังราคาขายปลีกกระทบประชาชน ส่วนปริมาณสำรองของผู้ค้ามาตรา 7 ปัจจุบันอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหมาะสมแล้ว

              โดยสรุปแล้ว แผนน้ำมัน 20 ปี จะมุ่งเน้นการส่งเสริมการขนส่งทางท่องเพื่อการประหยัดและลดอุบัติเหตุ การดูแลคุณภาพน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ควรใช้ว่ามีกี่เกรด กี่ชนิด รวมถึงการขยายตลาดภูมิภาคที่จะต้องมองการเชื่อมโยงกับอาเซียน

              ด้าน นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมผู้ค้าและผู้ผลิตเอทานอลไทย เผยเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงพลังงานได้ปรับเป้าหมายการใช้เอทานอลจากเดิม 9 ล้านลิตร/วัน ในปี 2564 เหลือ 6 ล้านลิตร/วัน นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เนื่องจากเป้าหมายเดิมมากเกินความจริง เพราะปัจจุบันการมีอัตราการใช้เอทานอลเพียง 3.3 ล้านลิตร/วันเท่านั้น 

              อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการใช้เพิ่มขึ้นด้วยการยกเลิกจำหน่ายแก๊สโซฮอล์อี 10 ให้เหลือตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อทำให้ผู้ค้ามีหัวจ่ายเพิ่มขึ้นในการเลิกไปจำหน่ายแก๊สโซฮอล์อี 20 เพิ่มก็เป็นสิ่งที่ดีและเห็นด้วย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

คัมภีร์วิธีขับรถยนต์" ประหยัด-ลดการสึกหรอ


         ตอนนี้ราคาน้ำมันก็มีวี่แววว่าจะขึ้นต่อไปเรื่อยๆ คนกรุงอย่างเราๆก็ยังคงเดินทางไปไหนมาไหนโดยอาศัย “รถยนต์"” เป็นหลัก ดังนั้นไม่ว่าทางไหนที่จะสามารถประหยัดได้ก็น่าที่จะลองดู การขับรถยนต์เชื่อว่าคงขับเป็นกันทั้งนั้น แต่การขับให้ประหยัดและลดการสึกหรอ เพื่อให้รถยนต์ใช้งานได้นานๆ และไม่กระทบกระทั่งกับเงินในกระเป๋าของคุณ "นายพล" มีข้อแนะนำมาฝาก

1.การเติมน้ำมัน เป็นหลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เพราะการขยายตัวของมวลสารที่แปรผันตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ถ้าอากาศร้อนก็จะทำให้น้ำมันเกิดการขยายตัว การเติมน้ำมันจึงควรเติมเวลาที่อากาศเย็น เวลาที่ดีที่สุดคืออยู่ในช่วง 00.00-06.00 น. รองมาคือช่วง 22.00-00.00 น. และช่วง 06.00-09.00 น.
สรุปคือตั้งแต่ 20.00 ถึง 09.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เติมน้ำมันแล้วจะได้ปริมาณมากกว่าช่วง 09.00-22.00 น. เพราะน้ำมันจะยังคงรูปแบบอยู่หรือ ขยายตัวเพียงเล็กน้อย จะประหยัดกว่าช่วง 09.00-22.00 น. อยู่ 2-5 เปอร์เซ็นต์ เช่น ช่วง 09.00-22.00 น. เติมเต็มถัง 40 ลิตร แต่ถ้าเติมช่วง 00.00-06.00 น. เต็มถังจะประมาณ 37.5-38.5 ลิตร และถ้าเติมช่วง 22.00-00.00 น. หรือ 06.00-09.00 น. เต็มถังก็แค่ 38-39 ลิตร ลองคำนวณดูราคาน้ำมันว่าจะประหยัดได้กี่บาทกี่เปอร์เซ็นต์
คนส่วนมากมักจะเติมน้ำมันหลังเลิกงานก่อนเข้าบ้านช่วง17.00-20.00น. จะพบว่าตอนเช้าขีดระดับน้ำมันจะตกลงต่ำกว่าตอนมาจอด ถ้าเติมตอน 06.00 น. แบบไม่เต็มถัง ขับไปทำงาน ตอนเที่ยงจะออกไปทานข้าว จะพบว่าขีดระดับจะสูงขึ้นกว่าตอนที่มาจอด
เวลาเติมน้ำมัน เด็กปั๊มมักจะขี้เกียจทอนเศษเงิน จึงมักกดยัดเยียดจนล้นหรือจนพอใจ เจ้าของรถก็ไม่สนใจ อย่าลืมว่าถังน้ำมันจะมีรูหายใจหรือ รูระบายแรงดันในถัง การเติมน้ำมันมากเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะพอมันขยายตัวน้ำมันก็จะถูกปล่อยทิ้งออกไปตอนรถวิ่งหรือกระแทก จึงควรเติมแค่หัวจ่ายตัดหรือเลยไปไม่เกิน 5 บาทก็ยังไม่เสียหาย เพราะจุดนี้ถือว่าสูญเสียหาย เพราะเติมน้ำมันมาปล่อยทิ้ง เจ้าของปั๊มได้กำไรจากยอดขายที่สูงขึ้น แต่เราขาดทุนเพราะเติมน้ำมันมาทิ้ง

2.การสตาร์ทรถและอุ่นเครื่อง ต้องอุ่นเครื่องเพราะว่าเครื่องยนต์ที่ดีและสึกหรอน้อยที่สุด ประหยัดที่สุด จะทำงานอยู่ในช่วง 90-95 องศาเซลเซียส
แต่ด้วยความเร่งรีบของสังคมปัจจุบัน ทำให้คนส่วนใหญ่มักจะขึ้นรถสตาร์ตเครื่องติดแล้วก็ขับออกไปเลย ขณะที่เครื่องเย็นอยู่ การหล่อลื่นยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้องใช้กำลังฉุดลากมากกว่าปกติ นอกจากจะเปลืองน้ำมันแล้วยังสึกหรอมากด้วย แม้ใครจะเถียงว่าเครื่องยนต์รุ่นใหม่ไม่ต้องอุ่นเครื่องก็ตาม แต่เชื่อถือซักนิดก่อนเปลี่ยนเกียร์ออกตัวดีกว่าแน่นอน และไม่เสียเวลาอะไรมากด้วย
แต่บางคนก็ใจเย็นเกินไป ติดเครื่องทิ้งไว้นาน 4-5 นาทีกว่าจะออกรถ อันนี้ก็เกินความจำเป็นไป สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ แถมบางคนสร้างความรบกวนรำคาญ และที่สำคัญสร้างมลพิษให้คนอื่นโดยไร้เหตุผลสิ้นดี
วิธีอุ่นเครื่องที่เหมาะคือปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดก่อนสตาร์ตเครื่องเพื่อลดโหลดของเครื่องยนต์ให้น้อยที่สุดไม่ให้เกิดแรงฉุดกระชากมากเกินไป
อุ่นเครื่องไว้สักระยะ ลองคำนวณดูกะให้บรรดาน้ำมันหล่อลื่นได้ไหลเวียนไปครบถ้วนก่อนแล้วค่อยสตาร์ต จากนั้นจึงค่อยเปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าตามต้องการ

3.การออกตัว ถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหลายคนประเภทโรคจิตนิดๆ ถ้าไม่ได้ยินเสียงล้อเสียดสีกับผิวถนนตอนออกตัวแล้วนอนไม่หลับ
การออกตัวเป็นหัวใจสำคัญของการประหยัดและลดการสึกหรอเพราะเกียร์1 คือเกียร์กินน้ำมันมากเป็นอันดับสองรองจากเกียร์ถอยหลัง เพราะต้องใช้แรงฉุดอย่างมหาศาลเพื่อลากตัวถังน้ำหนักเป็นตันจากหยุดนิ่งให้เคลื่อนตัว การออกตัวแรงๆ นอกจากจะเปลืองเชื้อเพลิงแล้ว ยังสึกหรอมาด้วย ทั้งยางและเครื่องยนต์
การออกตัวที่ดีควรทำอย่างนิ่มนวลที่สุด เกียร์ออโต้ก็ควรค่อยๆ ปล่อยเบรกและกดคันเร่งเบาๆ อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความเร็ว ส่วนเกียร์ธรรมดาก็ค่อยๆ ปล่อยคลัตช์แล้วกดคันเร่งเลี้ยงรอบเครื่องไว้ที่ 1000-1200 รอบ ทำได้ดังนี้การออกตัวจะนิ่มนวล ประหยัด และสึกหรอต่ำ
ไม่ควรออกตัวด้วยเกียร์ 2 แม้ให้อัตราเร่งสูงกว่าก็จริง แต่การจ่ายน้ำมันก็มากไม่ต่างจากเกียร์ 1 เท่าไหร่ แต่ต้องแลกมาด้วย ความสึกหรอของเครื่องยนต์มหาศาล เครื่องจะหมดกำลังอัดเร็วกว่าปกติมาก จะยิ่งเปลืองน้ำมันแถมมีควันเพิ่มขึ้น ไม่นานก็ต้องซ่อมบำรุง ครั้งใหญ่ ที่สำคัญจะเร็วกว่าพวกใช้ตามปกติระดับแสนกิโลเมตร ถือว่าเป็นความสูญเสียโดยใช่เหตุอีกเช่นกัน

4.การขับขี่ หลังจากออกตัวมาแล้วก็ต้องเร่งเครื่อง เกียร์ออโตคือกดคันเร่งลงอย่างนิ่มนวล ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ และควรใช้โอเวอร์ไดรฟ์ หรือ O/D ในความเร็วสูง จะทำให้รอบต่ำลงมา ช่วยประหยัดน้ำมัน ส่วนปุ่ม ETC นั้นถ้าไม่ได้แข่งกับใครก็ไม่ควรจะใช้บ่อยนัก เพราะคือการลากเกียร์ จะทำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น เปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น แถมยังส่งผลต่ออายุงานของเกียร์ด้วย
สำหรับเกียร์ธรรมดา การเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นควรจะทำให้เร็วที่สุดและไปถึงเกียร์สูงสุดเร็วที่สุดเช่นกัน

5.ความเร็วปลายหรือความเร็วสูงสุดในการเดินทาง ถ้าขับระยะทางไกลๆ และต้องการใช้ความเร็วสูงแต่ประหยัดน้ำมันและการสึกหรอต่ำ อาจใช้อาศัยกฎธรรมชาติ เช่น แรงเสียดทานและแรงโน้มถ่วงมาช่วย โดยเฉพาะรถคันใหญ่ น้ำหนักมาก จะมีจุดหนึ่งที่หน้ายางสัมผัสถนน เต็มหน้าพอดีและตั้งฉาก จุดนั้นจะเหมือนว่าน้ำหนักตัวของรถน้อย คือจุดก่อนรถจะลอยตัว เป็นศัพท์ชาวบ้าน เป็นจุดสุดท้ายที่รถ ยังคงเสถียรภาพการเกาะถนนอยู่ รถแต่ละรุ่นจะได้ความเร็วไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถและตัวสปอยด์เลอร์ที่ติดมา
จุดนี้หาได้โดยค่อยๆ กดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง จะพบว่าความเร็วรถจะเพิ่มขึ้นเองอย่างรวดเร็ว จนต้องถอนคันเร่งเช่นโดยทั่วไป
นอกจากนี้ การเดินทางไกลควรหยุดพักรถทุก 2 ชม. หรือ 200 กม. หรือขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ขับขี่ และการหยุดแต่ละครั้งไม่ควรต่ำกว่า 15 นาที ควรจอดในที่ร่ม บางคนชอบเปิดฝากระโปรงหน้าไว้เพื่อให้น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเบรกได้คายความร้อน จะได้กลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่อาจไม่จำเป็นเพราะถูกออกแบบระบบระบายอากาศมาเป็นอย่างดีแล้ว

6.การเบรก ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเบรกรุนแรง ทางที่ดีควรใช้การลดความเร็วและการลดเกียร์ลงมาหรือใช้ความเร็วให้เหมาะสม เพราะการเบรกรุนแรงนอกจากการสึกหรอของระบบเบรกแล้ว ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงค้างในห้องเผาไหม้จำนวนมาก เพราะปล่อยคันเร่ง ทันทีทันใดอาจจะซึมผ่านไปผสมกับน้ำมันเครื่อง ส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และส่งผลต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ตามมา

7.การถอยรถ ในรถเกียร์อัตโนมัติคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่กับการถอยหลัง เพราะยังไงก็ต้องหยุดรถให้สนิทอยู่แล้วจึงโยกเข้าเกียร์ถอยหลังได้ แต่ในรถเกียร์ธรรมดา สิ่งที่ควรทำคือทำแบบเกียร์อัตโนมัติ เหยียบเบรกให้รถหยุดสนิทก่อน แต่ถึงแม้รถจะหยุดสนิทแล้ว ก็ควรทิ้งระยะเวลาไว้เล็กน้อยประมาณ 3-5 วินาทีก่อนเข้าเกียร์ เพื่อให้เวลากับเพลาหรือเฟืองที่ยังมีแรงเฉื่อยอยู่หยุดหมุนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเมื่อต้องหมุนไปอีกทางในทางกลับกันก็จะเกิดการสึกหรออย่างมาก และยังเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น ต้องใช้แรงฉุดมากขึ้น หรือบางทีก็มีเสียงไม่พึงประสงค์ออกมากันเลยทีเดียว
โดยทั่วไปแล้วเกียร์ถอยหลังจะมีอัตราทดและแรงมากที่สุดกว่าทุกเกียร์มีไม่กี่รุ่นทำเกียร์1 สูงกว่าเกียร์ถอยหลัง ดังนั้นจึงเป็นเกียร์ที่ใช้น้ำมัน มากที่สุด จึงควรนิ่มนวลในการเร่งและปล่อยคลัตช์มากที่สุด

8.การจอดรถ ก่อนถึงที่หมายซัก 100-200 เมตร ควรปิด AC หรือคอมเพรสเซอร์ของแอร์เหลือไว้เฉพาะพัดลมเพราะยังคงมีความเย็นในระบบอยู่ การกระทำดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว พัดลมยังช่วยเป่าไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ทำให้ไม่มีกลิ่นอับชื้น ความชื้นในตู้แอร์หมดไป การผุกร่อนของตู้แอร์และระบบก็ลดลง ที่สำคัญไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรค
เมื่อถึงที่หมายและรถจอดสนิทแล้วก็ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ฟังเสียงว่าพัดลมไฟฟ้าทำงานอยู่หรือเปล่า ควรปล่อยให้พัดลมทำงาน จนหยุดก่อนจึงดับเครื่องยนต์ ถ้าไม่จอดขวางใครอย่าลืมดึงเบรกมือขึ้นด้วย เพราะหลายคนชอบเร่งเครื่องขึ้นไปรอบสูงๆ ก่อนดับเครื่อง โดยเข้าใจว่าจะทำให้เครื่องติดง่ายในครั้งต่อไป อันนี้อันตรายต่อเครื่องยนต์มาก เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงจะตกค้างและปนไปอยู่กับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาวะการหล่อลื่น สึกหรอมากขึ้น แถมน้ำมันค้างก็เหมือนการทิ้งไปเปล่าๆ

9.ลมยาง ควรจะตรวจเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ปริมาณลมยางก็ตามที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำ ส่วนใหญ่จะมีในคู่มือ หรือบางรุ่นติดไว้ขอบประตูรถ
ถ้าลมยางอ่อนเกินไปก็จะทำให้รถซดน้ำมันมากขึ้นและขอบยางก็จะสึกมากขึ้นอายุยางก็ลดลงแต่ถ้าแข็งเกินไป ประหยัดน้ำมันก็จริง แต่ยางก็จะสึกตรงร่องกลางๆ มาก เสื่อมเร็วเช่นกัน ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบไปถึงลูกหมาก ลูกปืนจะพังเร็วกว่าปกติ

10.การเก็บสัมภาระไว้ในรถ ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีนั่นแหละ ไม่ต้องเถียงกันว่าใครหนักกว่า เพราะเห็นมาเยอะ ไม่ควรเก็บของไว้ในรถมากเกินไป ควรเก็บที่จำเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่มักอ้างว่าจำเป็นทั้งนั้น ของที่ใส่ในรถเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถ ทำให้กินน้ำมันโดยใช่เหตุ
นอกจากนี้ การเลือกเส้นทางในการเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ย้ำว่าจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่รถติดมากๆ หรือเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นข้อแนะนำที่ไม่ใช่บังคับให้ใครต้องมาปฏิบัติแต่เชื่อว่าถ้าฝึกเรื่อยๆจนเป็นนิสัย แล้วค่อยๆ เพิ่มสิ่งที่ยังไม่ได้ทำเข้าไป สุดท้ายคุณจะเป็นคนขับรถที่ดี ประหยัดน้ำมัน และรถยนต์คู่ใจก็ทนทานใช้งานได้คุ้มค่า

 ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

รถหลุดจำนำ ราคาถูกซื้อได้หรือไม่ กับเรื่องที่ต้องรู้ก่อนคิดจะซื้อ


ความต้องการรถมือสองในปัจจุบันนั้นมีมาก รถหลุดจำนำจึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ
 
          เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้ ทางทีมงานจะพาเพื่อนๆ ไปพบกับเรื่องของการซื้อรถหลุดจำนำซึ่งหลายๆ ท่านที่กำลังมองหารถมือสองอยู่ ก็อาจจะเคยพบมาบ้างกับประกาศขายรถหลุดจำนำ ที่มีราคาถูก จนทำให้หลายๆ ท่านสนใจที่จะซื้อ แต่ก็มีบางเรื่องที่จะต้องทราบเกี่ยวกับการซื้อรถ หลุดจำนำ เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้ในวันนี้

รถหลุดจำนำส่วนใหญ่จะเป็นรถใหม่ แต่นำมาขายราคาถูก ทำให้มีผู้ที่สนใจจำนวนมาก

          เรื่องของรถหลุดจำนำที่นำออกมาขายในตอนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่หลายๆ ท่านกำลังให้ความสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการจะหารถมือสองมาใช้ รถหลุดจำนำจึงเป็นอีกตัวเลือก เนื่องจากเป็นที่ใหม่ ราคาถูก แต่หารู็ไม่ว่ารถหลุดจำนำนั้น อาจจะนำปัญหามาให้แก่ท่านได้ ซึ่งก็มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ว่ารถหลุดจำนำนั้นผิดกฎหมายไหม หากซื้อมาใช้ เรื่องนี้มีทั้งถูกและไม่ถูกครับ เพราะรถหลุดจำนำ คือ รถที่เจ้าของรถนำไปจำนำกับทางพ่อค้าที่รับจำนำรถ ซึ่งก็เหมือนกับการนำของไปจำนำที่รับจำนำทั่วไป ซึ่งหากไม่มีการไถ่ถอนตามกำหนด ก็จะกลายเป็นรถหลุดจำนำ และทางพ่อค้าก็จะนำออกมาขาย จึงทำให้มีราคาถูก และก็จะมีคำถามตามมาว่ารถหลุดจำนำเป็นรถถูกกฏหมายหรือไม่ ในเรื่องนี้ บอกได้เพียงว่ามีทั้งในส่วนถูกกฏหมายและก็ผิด หรือ "สีเทา" นั่นเอง  เพราะรถหลุดจำนำส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ติดไฟแนนซ์ จึงทำให้มั่นใจได้เลยว่าไม่ได้เป็นรถที่ถูกขโมยมา ซึ่งรถที่ติดไฟแนนซ์แล้วถูกนำมาจำนำ จะมีเอกสารประกอบดังนี้
-สำเนาหน้าเล่มทะเบียนรถยนต์
-สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถ
-สำเนาทะเบียนบ้านเจ้าของรถ
-เอกสารโอนลอยรถยนต์ (โดยมีเจ้าของนั้นทำการเซ็นชื่อกำกับไว้เรียบร้อย)
-เอกสารมอบอำนาจ (โดยมีเจ้าของรถนั้นทำการเซ็นชื่อกำกับไว้เรียบร้อย)
          ในเมื่อมีเอกสารการโอนรถมาให้หลายๆ ท่านก็อาจจะคิดว่า รถหลุดจำนำสามารถซื้อได้ แต่ตามจริงแล้วรถหลุดจำนำไม่สามารถโอนได้ เพราะเจ้าของตัวจริงที่ครอบครองรถก็คือ ไฟแนนซ์ หากมีการซื้อรถหลุดจำนำมา สิ่งที่น่ากลัวก็คือ คุณอาจจะโดนไฟแนนซ์ตามยึดรถ แถมยังจะโดนแจ้งข้อหารับซื้อของโจรด้วย แต่ก็จะมีหลายท่านๆ วัดดวงซื้อรถหลุดจำนำมาใช้ ซึ่งก็คิดว่าหากไม่ถูกยึดก็ถือว่าเป็นโชคดี บางท่านก็อาจจะซื้อรถมาแล้วนำไปปิดยอดกับไฟแนนซ์ แต่ก็ต้องวัดดวงว่ายอดปิดจะต้องใช้เงินมากน้อยเพียงใด สำหรับท่านที่คิดจะซื้อรถหลุดจำนำ ควรจำไว้ว่าอาจเกิดความเสี่ยงที่จะตามมาภายหลังดังนี้
-เสี่ยงต่อการถูกยึดรถคืนโดยไฟแนนซ์ ซึ่งจะทำให้เสียทั้งเงินทั้งรถ
-เสี่ยงต่อการเป็นเหยื่อของแก๊งต้มตุ๋น
-เสี่ยงต่อการถูกตรวจและโดนจับ แม้จะมีเอกสารครบหมดทุกอย่าง ถ้ารถคันที่ซื้อถูกแจ้งความหาย ก็อาจจะโดนข้อหารับของโจรด้วย
หลุดที่ถูกนำออกมาขายอาจจะเป็นรถที่ถูกขโมยมา ควรระวังให้ดี

          เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับเรื่องของการซื้อรถหลุดจำนำ ที่ทางทีมงานนำมาให้ได้ชมกัน ซึ่งหลายๆ ท่านที่คิดจะตัดสินใจซื้อ ควรคิดไตร่ตรองดูก่อนว่า "คุ้มหรือไม่" ที่จะซื้อรถหลุดจำนำ ราคาอาจจะถูกแต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น นอกจากจะเสียเงินแล้ว ก็อาจจะกลายเป็นผู้ร้ายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ควรคิดให้ดีก่อนจะซื้อรถหลุดจำนำ 

ที่มา :  BoxzaRacing.com


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

เปิดผลทดสอบชน! ′กระบะ′ รุ่นไหนปลอดภัยสุด ผลที่ออกมาผิดคาดไปเลย




อาเซียน เอ็นแคป (Asean Ncap) ได้เปิดเผยผลการทดสอบการชนรถกระบะหลายรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
 
เริ่มจากอีซูซุ ดีแมคซ์ (ISUZU D-MAX) 
โดยได้รับคะแนนความปลอดภัย 5 ดาว จากเดิมเคยทำคะแนนได้ 4 ดาว ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับอุปกรณ์มาพร้อมกับถุงลมนิรภัยทั้งคู่หน้า แต่เวอร์ชั่นออสเตรเลียจะเพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านนิรภัย เข็มขัดนิรภัย 3 จุดทุกที่นั่ง ระบบเบรก ABS EBD พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว ESC เบาะนั่งที่ติดตั้งพนักพิงศีรษะแบบรองรับแรงกระแทกอัตโนมัติผนวกกับเข็มขัดนิรภัย 3 จุดแบบ ดึงกลับอัตโนมัติ ทำให้ลดอาการบาดเจ็บจากต้นคอเมื่อเกิดการชนท้ายรถ ส่วนการปกป้องในส่วนคนเดินถนนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ด้านตัวรถหลังจากทดสอบชนไปพบว่าโครงสร้างตัวรถโดยเฉพาะเสา A มีบิดงอไปเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคะแนนจากการชนด้านหน้า คะแนนเต็ม 16 ได้ 13.58 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 และชนเสา ได้ 2 เต็ม 2 คะแนนรวมทำได้ 33.58 เต็ม 37


โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ 
กระบะที่กำลังจะหมดอายุเพราะทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2004 ก่อนจะเปิดตัวรุ่นใหม่ในอีกไม่ช้านั้น มีผลงานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว เริ่มแรกของการทำตลาดไฮลักซ์ จะมีแค่ถุงลมนิรภัยด้านคนขับหรือคู่หน้า ระบบเบรก ABS และโครงสร้างตัวถัง GOA พอมาเป็นเวอร์ชั่นไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ ได้เพิ่มทั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง ม่านนิรภัย ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบควบคุมการทรงตัว VSC ด้านตัวถังหลังจากทดสอบชนแบบออฟเซตแล้ว โครงสร้างตัวถังยังไม่เสียรูปแม้แต่น้อย โดยคะแนนจากการชนด้านหน้าคะแนนเต็ม 16 ได้ 12.86 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 และชนเสา ได้ 2 เต็ม 2 คะแนน รวมทำได้ 32.86 เต็ม 37


มิตซูบิชิ ไทรทัน 
รถกระบะรุ่นใหม่ที่มีฐานการผลิตในไทย ล่าสุดที่ออสเตรเลียได้คะแนนจากทดสอบการชนระดับ 5 ดาว รวบรวมความปลอดภัยไว้ครบครัน เริ่มจากถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ทั้งคู่หน้า ด้านข้าง ม่านนิรภัย และใต้เข่าคนขับ มีระบบเบรก ABS EBD BA มีระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเกิดเบรกกะทันหันและกล้องมองหลังในบางรุ่น โดยมีผลงานเด่นในด้านการชนท้ายด้วยการรองรับของพนักพิงศีรษะและการปกป้องคนเดินถนนอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ ส่วนโครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งไม่เสียรูป พร้อมทั้งปกป้องคนขับและห้องโดยสารอย่างปลอดภัย คะแนนจากการชนด้านหน้า คะแนนเต็ม 16 ได้ 15.22 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 และชนเสา ได้ 2 เต็ม 2 คะแนนรวมทำได้ 36.22 เต็ม 37

มาสด้า บีที-50 และฟอร์ด เรนเจอร์ 
สองยี่ห้อนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน ทำให้ในการทดสอบเหมาว่าเหมือนกัน แม้จะอยู่ในตลาดมานานตั้งแต่ปี 2011 และใกล้จะเปลี่ยนหน้าตาใหม่เร็วๆ นี้ แต่พบว่ารถกระบะทั้งสองยี่ห้อนี้ตัวถังแข็ง จากทดสอบชนพบว่าโครงสร้างตัวถังแข็ง ห้องแข็งแกร่งไม่บิดงอ ด้านการปกป้องคนเดินถนนกับการชนด้านท้ายอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ทั้งคู่ ความปลอดภัยประจำรถมีทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับกระบะทั้งสองยี่ห้อนี้ได้คะแนนจากการชนด้านหน้า คะแนนเต็ม 16 ได้ 15.72 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 และชนเสา ได้ 2 เต็ม 2 คะแนนรวมทำได้ 35.72 เต็ม 37
 
เชฟโรเลต โคโลราโด 
กระบะแกร่งจากค่ายจีเอ็ม ถึงแพลตฟอร์มของบอดี้จะใช้ร่วมกันกับอีซูซุ ดีแมคซ์ แต่ต่างกันที่เครื่องยนต์และระบบเกียร์ พร้อมความปลอดภัยที่รถกระบะทุกยี่ห้อต้องมีกัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมการทรงตัว ESC ผลงานทดสอบการชนทำได้ 4 ดาว ถึงโครงสร้างตัวถังโดยเฉพาะเสา A อาจเสียรูปไปบ้าง แต่ด้านการปกป้องคนเดินถนนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ โดยคะแนนจากการชนด้านหน้า คะแนนเต็ม 16 ได้ 10.20 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 และชนเสา ได้ 2 เต็ม 2 คะแนนรวมทำได้ 29.20 เต็ม 37
 
ทาทา ซีนอน 
กระบะจากแดนอินเดีย ได้ปรับปรุงระบบความปลอดภัยใหม่ด้วยการเพิ่มถุงลมนิรภัยคู่ ระบบเบรก ABS EBD และระบบควบคุมการทรงตัว ESC เพื่อให้สู้คู่แข่งได้ มีระบบความปลอดภัยทัดเทียมเหมือนคู่แข่ง หลังทดสอบการชนแล้ว กลับทำผลงานได้ดี จากเดิม 2 ดาว กลายมาเป็น 4 ดาว คะแนนจากการชนด้านหน้า คะแนนเต็ม 16 ได้ 11.27 ชนด้านข้าง ได้ 16 เต็ม 16 ชนเสายังไม่มีข้อมูล คะแนนรวมทำได้ 27.27 เต็ม 37

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99



ชัวร์หรือมั่วนิ่ม? ใบขับขี่ตลอดชีพหมดเขตเปลี่ยนสิ้นปีจริงหรือ...?

ขณะนี้ในโลกโซเชียลได้มีการแชร์ข้อความให้รีบเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพเป็นแบบสมาร์ทการ์ดภายในสิ้นปี 2558 นี้ เพื่อรับใบขับขี่อาเซียนที่สามารถเดินทางได้ 10 ประเทศ จริงๆแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?

จากการตรวจสอบไปยังกรมขนส่งทางบก ได้รับการชี้แจงว่า ใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดสามารถใช้เป็นใบขับขี่เพื่อใช้ขับรถในกลุ่มประเทศอาเซียนจำนวน 10 ประเทศได้ทันทีโดยไม่ต้องทำใบขับขี่สากล ซึ่งได้แก่ ประเทศสิงคโปร์, บรูไน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, พม่า และไทย เนื่องจากใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดเป็นเอกสารที่ออกโดยราชการไทย มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษประกอบ ซึ่งนับว่าเป็นภาษาสากลที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว

     ส่วนข้อความในโลกโซเชี่ยลที่ถูกส่งต่อกันมานั้น ระบุว่าให้รีบทำการเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพแบบเก่า (บัตรกระดาษ) มาเป็นแบบสมาร์ทการ์ด (บัตรแข็ง) ภายในเดือน ธันวาคม 2558 นี้ มิเช่นนั้นอาจเสียสิทธิ์ในการรับใบขับขี่อาเซียน 10 ประเทศนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากกรมการขนส่งทางบก ได้ออกประกาศชัดเจนว่า ไม่มีมาตรการยกเลิก หรือ บังคับให้เปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพแบบเก่ามาเป็นแบบสมาร์ทการ์ดแต่อย่างใด
ซึ่งหากผู้ที่ครองครองใบขับขี่ตลอดชีพแบบเก่า ต้องการเปลี่ยนมาเป็นแบบสมาร์ทการ์ด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเพื่อใช้เดินทางใน 10 ประเทศอาเซียน หรือ เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา ก็สามารถเปลี่ยนได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ โดยไม่มีกำหนดเวลา เป็นเพียงทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเท่านั้น
     การเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพนั้น เป็นการออกบัตรสมาร์ทการ์ดใบใหม่เพิ่มเติมจากบัตรแบบเก่าที่ใช้อยู่ โดยสำนักงานขนส่งจะไม่มีการเก็บใบขับขี่ใบเก่าคืน ผู้ครอบครองยังคงสามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้

ที่มา : auto.sanook.com



ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99

งานเข้า รถติดแก๊ส LPG รัฐย้ำไม่สนับสนุน เตรียมเพิ่มภาษีต่อทะเบียนและขึ้นราคาแก๊ส




เตรียมเพิ่มภาษีสำหรับรถใช้แก๊ส LPG เพิ่มภาษีต่อการต่อทะเบียน รวมไปถึงภาษีนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการติดตั้ง LPG สำหรับรถยนต์

          เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 มีรายงานว่า นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เตรียมหารือกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อเก็บภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ใช้แก๊ส แอลพีจี (LPG) เพิ่มขึ้น และเพิ่มภาษีนำเข้า อุปกรณ์ ตัวถังแก๊ส LPG ที่จะดัดแปลงนำมาติดตั้งใช้ในรถยนต์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งหวังว่าจะทำให้ปริมาณรถยนต์ที่ติดตั้งแอลพีจีลดต่ำลง


          ที่ผ่านมาการใช้แก๊ส LPG ในภาคขนส่งมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนปั๊มแก๊ส LPG ถึง 2,003 แห่งและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนการผลิตแก๊สในประเทศไม่พอใช้ ทำให้ต้องนำเข้า อีกทั้งกระทรวงพลังงานมีนโยบายชัดเจนไม่ส่งเสริมการใช้แก๊ส LPG ในภาคขนส่ง


 มาตรการดังกล่าว หากนำมาใช้ราคาแก๊ส LPG ก็จะสูงขึ้นอีก ทำให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งขายปลีกไม่ต่างจากน้ำมันมากนัก ซึ่งในที่สุดแล้วจำนวนรถที่ติดตั้ง LPG จะลดลงในอนาคต
          สังเกตได้จากในเดือนก.พ. ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้รถแอลพีจีมียอดลดลง 10% แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยจากเดิม 1.2 ล้านคันเหลือเพียง 1 ล้านคันเศษ ๆ เท่านั้น โดยคาดว่าไม่มีการดัดแปลงเพิ่มขึ้นและที่หายไปน่าจะเกิดจากรถเก่าที่หมดอายุ 


ภาพจาก jassada watt / Shutterstock.com
ที่มา car.kapook


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

www.facebook.com/kcyca


คลิกหารถสภาพดี ถูกที่สุดในประเทศ

www.kcycar.com


Line ID : kcycar99