WHO เผยไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นอันดับ 2 ของโลก

ผลการจัดอันดับรายงานการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลกปี 2558 องค์การอนามัยโลกพบไทยยังคงอยู่ในอันดับ 2 ของโลก และยังสูงเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอาเซียน






    รายงานสถิติอุบัติเหตุขององค์การอนามัยโลกปีล่าสุด พบว่า ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 36.2 คนต่อประชากร 100,000 คน, อันดับ 2 คือ เวียดนาม อยู่ที่ 24.5 คน และอันดับ3 คือ มาเลเซีย  24 คน ส่วนสิงคโปร์ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุน้อยที่สุด เฉลี่ย 3.6 คน ต่อประชากร 100,000 คน 
นายแพทย์ วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก ด้านการป้องกันอุบัติเหตุเปิดเผยว่า ว่า สาเหตุที่ประเทศไทยยังติดอันดับสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน เพราะความประมาท ขาดวินัยจราจร ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันน็อก เมาแล้วขับ ขับรถย้อนศร ขับเร็ว
ขณะที่องค์การอนามัยโลก เสนอให้ไทยบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังและดำเนินการต่อเนื่องไม่ใช่เฉพาะแค่ช่วงเทศกาล รวมถึงการใช้เครื่องมือเช่นกล้องตรวจจับความเร็วกวดขันวินัยผู้ขับขี่  





ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

เลือกสีรถ ให้ตรงกับธาตุ


ใครที่กำลังจะซื้อรถ อาจจะลังเลเลือกสีที่ชอบ กับสีที่ถูกโฉลก เพราะกลัวว่าสีที่ชอบนั้นจะไปขัด
กับดวง อาจทำให้ซวยได้ แต่จริงๆ แล้วเรื่องดวงนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนตัวและดวงนั้นก็ขึ้นอยู่กับ
คนรอบข้างด้วย นั่นก็คือ เพื่อนร่วมทางนั่นเอง เพราะต่อให้เราขับรถสีถูกโฉลก ขับรถดี ปฏิบัติตามกฏ
จราจรแล้วก็ตาม รถคันอื่นๆ ก็อาจจะมาเฉี่ยวชนเราได้

หากใครเชื่อเรื่องดวงหรือโชคลาค ก็ลองมาดูกันหน่อยไหมว่าคุณเหมาะกับรถสีอะไร เรื่องแบบนี้
บางทีก็น่าเหลือเชื่อนะจ๊ะ


ผู้ที่เกิดธาตุดิน คือเกิดช่วงวันที่ 23 ตุลาคม – 22 มกราคมคนธาตุดินนั้นมักจะมีสุขภาพที่ดี ทนถึกเยี่ยงนักรบ ทนความหนาวเยี่ยงชาวมองโกล … เวอร์ไปเนอะ
คนธาตุนี้ออกจะไฮเปอร์เล็กน้อย ไม่ค่อยอยู่นิ่ง สีรถจึงเหมาะกับสี แดง ส้ม ชมพู (คิดดีๆ นะกับสีนี้ติ๊งต๊องอ่ะ) เหลือง และ สีครีม


ผู้ที่เกิดธาตุน้ำ คือเกิดช่วงวันที่ 23 กรกฎาคม – 22 ตุลาคมคนเกิดธาตุน้ำนี้มักจะอวบนิดๆ พอเซ็กซี่ ผิวสวยผุดผ่องเพราะความอวบไง แต่ก็ทำอะไรช้าหน่อย
การพูดจาน่าคบหา สีรถที่เหมาะจึงเป็นสี ขาว ฟ้า บรอนซ์ ม่วง และ สีดำ


ผู้ที่เกิดธาตุลม คือเกิดช่วงวันที่ 23 เมษายน – 22 กรกฎาคมธาตุลมนั้นก็คือลมพริ้วไหว หุ่นคนธาตุลมจึงมักผอมเพรียวเสียส่วนใหญ่ แต่ผิวพรรรสู้คนธาตุน้ำไม่ได้
เป็นคนคิดมาก สมาธิสั้น ขี้โรคและทนความหนาวไม่ค่อยได้แฮะ สีรถที่เหมาะกับคนธาตุลมคือสี ขาว ครีมเหลือง บรอนซ์ ทอง


ผู้ที่เกิดธาตุไฟ คือเกิดช่วงวันที่ 23 มกราคม – 22 เมษายนชื่อก็บอกว่าไฟ ฉะนั้นใจจึงร้อน หงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ชอบความรุนแรง ซาดิสก์ โอ้ยยย
แต่แม้จะเป็นคนธาตุไฟ แต่ก็ไม่ชอบอากาศร้อน สีรถที่เหมาะกับคนธาตุไฟคือสี เขียว เขียวอ่อน สีส้มชมพู และสีแดง


เอาเหอะน่า แม้ว่าเราจะได้สีรถไม่ตรงกับธาตุ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เอาความรุ้นี้ไว้ประดับหัวขอให้ขับรถถูกกฎจราจร ไม่ใจร้อน ให้อภัยกับเพื่อนร่วมทางหากเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีแล้ว

ขอบคุณรูปจาก : wihastech / beyond

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ตำรวจมะกันหัวใส! ปลอมตัวเป็นคนจรจัด คอยจับพวกชอบแช็ตไปขับไป

  เว็บไซต์ Fox9.com เผยแพร่เรื่องราวที่น่าสนใจในเทศมณฑลมอนต์โกเมอรี่ รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตำรวจนายหนึ่งได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเป็นชายไร้บ้าน เพื่อจับคนที่ชอบเล่นมือถือระหว่างขับขี่ยานพาหนะ


    ตำรวจนายนี้ประจำอยู่ที่สี่แยกถนนริเวอร์โรด และถนนโกลด์าโบโร โดยจะเห็นว่าแต่งกายได้เหมือนกับชายไร้บ้านทุกประการ ถือป้ายขนาดใหญ่เอาไว้ที่มีข้อความซ่อนไว้ด้านหลังว่า "ผมไม่ใช่คนไร้บ้าน แต่ผมเป็นตำรวจในเทศมณฑลมอนต์โกเมอรี่ ที่จะมาคอยดักจับพวกชอบแช็ตไปขับไป"


ที่สำคัญคือ ตำรวจคนนี้ซ่อนไมโครโฟนไร้สายไว้ในเสื้อด้วย เพื่อที่ว่าถ้าเกิดเห็นว่ามีใครหยิบมือถือมาเล่นตอนขับรถเมื่อไหร่ จะได้วิทยุหาเพื่อนตำรวจคนอื่นในเครื่องแบบในละแวกใกล้เคียง ให้เตรียมดักจับได้ทันที


ที่มา : khaosod.co.th
เรียบเรียง : kcycar.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook



เทคนิคการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว

เทคนิคการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว
 ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ หลายๆ จังหวัด หลายๆ อำเภอต่างถิ่นในชนบท มักจะมีเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับหน้าหนาวกันมากมายหลายท้องถิ่น เมื่อย่างเข้าปลายเดือนตุลาคม อากาศหนาว จากทางประเทศจีนเริ่มแผ่ขยายลงมาจนผู้ที่อาศัยในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเริ่มรู้สึกถึงความเย็นในยามเช้าๆ

เมื่อหน้าหนาวมาเยือนทีไร ก็ถึงฤดูกาลที่คนส่วนใหญ่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ตามภูเขา ยอดดอยสูงๆ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศหนาวเย็นที่รอคอยมาเกือบปี ซึ่งการขับขี่รถบนถนนที่มีหมอกจัดปกคลุม โดยเฉพาะบริเวณเชิงดอย ซึ่งอาจจะมีควันไฟจากการเผาตอซังข้าว และพงหญ้าริมข้างทางร่วมด้วย เนื่องจากตรงกับช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร จึงส่งผลให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเส้นทางของผู้ขับขี่ลดลงก่อ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะในช่วงหน้าหนาวมักจะมีหมอกหนา และมีความชื้นสูงในช่วงกลางคืนถึงเช้ามืด เราจึงมีข้อแนะนำเพื่อการขับรถเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาวอย่างปลอดภัยกันครับ

สตาร์ทรถอุ่นเครื่องก่อนเริ่มเดินทาง


fog-2         ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นมากๆ น้ำมันเครื่องจะข้นและหนืดขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นของน้ำมันเครื่องลดลง อุปกรณ์ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่มีการเคลื่อนไหวจะเกิดการเสียดสีกันมาก ถ้าหากใช้งานในลักษณะดังกล่าวเป็นระยะเวลานานหรือบ่อยครั้ง จะส่งผลให้ชิ้นส่วนหรืออะไหล่ของเครื่องยนต์เสียหายชำรุดเร็วขึ้น ฉะนั้นทุกเช้าที่สตาร์ทรถ ควรติดเครื่องยนต์ไว้ทิ้งอย่างน้อย 30 วินาที ถึง 1 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์อุ่นขึ้น น้ำมันเครื่อง จะได้มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นเต็มที่ เครื่องยนต์ก็จะไม่สึกหรอมาก
 
นอกจากการตรวจสภาพรถตามปกติก่อนออกเดินทางแล้ว ควรตรวจสอบการทำงานของระบบไฟส่องสว่าง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟตัดหมอก ไฟเบรค ไฟเลี้ยวทุกดวงว่ายังทำงานตามปกติครบทุกจุดหรือไม่ เพราะว่าในขณะที่ท่านวิ่งฝ่าสายหมอกหรือควันไฟ แสงไฟของรถจะช่วยให้ท่านมองเห็นรถคันอื่น และรถคันอื่นก็สามารถมองเห็นรถท่านได้อย่างชัดเจน โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็ลดลงไปได้มาก นอกจากนี้ก็ควรตรวจเช็คระบบเบรคและที่ปัดน้ำฝนว่ายังทำ งานได้ดีหรือไม่
การขับรถฝ่าสายหมอกและควันไฟ
เมื่อขับรถเข้ากลุ่มหมอกหรือควันไฟ ต้องชะลอความเร็วก่อนถึงกลุ่มหมอกหรือควันไฟ ยึดแนวเส้นขอบถนนด้านซ้ายเป็นหลักเพื่อไม่ให้ตกถนน หรือจะดูแนวเส้นกึ่งกลางถนนแล้วเยื้องไปทางซ้ายแทนก็ได้ ถ้าหมอกลงจัดมาก หรือควันไฟหนาแน่นมากจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า สิ่งแรกที่ควรทำคือ เปิดไฟตัดหมอกหรือเปิดไฟหน้ารถ และควรขับอย่างระมัดระวัง มองหาสถานที่จอดรถที่ปลอดภัย เช่น ปั้มน้ำมัน หรือจุดพักรถข้างทาง แต่อย่าจอดรถบนไหล่ทางโดยเด็ดขาด เพราะจะเสี่ยงกับการถูกเฉี่ยวชนสูงมาก เมื่อหมอกจางหายหรือควันไฟหมดแล้วค่อยเดินทางต่อจะปลอดภัยกว่า แต่ถ้าสามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้าได้ และไม่มีสถานที่จอดที่ปลอดภัย ก็ให้ขับตามรถคันหน้าช้าๆ โดยขับทิ้งช่วงห่างคันหน้าเพื่อให้มีระยะเบรกพอสมควร และให้ชิดขอบทางด้านซ้ายให้มากที่สุด


ประโยชน์ของไฟตัดหมอก ใช้ให้เป็น จะได้ประโยชน์สูงสุด
สมัยนี้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ มักจะติดตั้งไฟตัดหมอกมาจากโรงงานกันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ขับขี่ในบ้านเรา มักจะใช้ประโยชน์ของไฟตัดหมอกไม่ค่อยถูกที่ ไม่ถูกเวลา และไม่ถูกกาลเทศะ มักจะคิดไปเองว่าไฟตัดหมอกจะช่วยเพิ่มความสว่างหน้ารถในตอนกลางคืน จริงๆ แล้วถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่อันตรายของการเปิดไฟตัดหมอกในสภาวะปกติ นอกจากจะผิดกฏจราจรแล้ว ยังทำให้ผู้ร่วมทางที่ขับรถสวนมารู้สึกรำคาญกับแสงไฟที่แยงตา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
light fog
ลักษณะของไฟตัดหมอกจะไม่เหมือนกับไฟหน้ารถ ตัวไฟตัดหมอกถึงแม้จะมีขนาดเล็กก็จริง แต่ด้วยความที่ไฟชนิดนี้เป็นไฟสปอร์ตไลท์ขนาดเล็ก มีขนาดกำลังวัตต์ไม่เกิน 55 วัตต์ แต่กำลังในการส่องสว่างจะสูงมาก หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 128 มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท


ใช้ไฟตัดหมอก ตำรวจจับ ปรับได้ในกรณีใด?
การใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ตาม 
fog-4

พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2536 ได้มีการระบุการใช้ไฟตัดหมอก สามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรคอันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถและต้องไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือ สวนมาในระยะของแสงไฟ หรือในระยะ 150 เมตร โดยสามารถใช้หลอดไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง ที่มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ เท่านั้น หากมีการใช้ไฟตัดหมอกไม่เป็นไปตามประเภท ลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท  แหล่งอ้างอิงจาก : สภ.พุทธมณฑล


ควรเปิดไฟตัดหมอกเวลาไหนดี
มีข้อแนะนำการเปิดไฟตัดหมอกจากเจ้าพนักงานจราจรดังนี้ครับ
1. เปิดในช่วงฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกหนัก จะมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่มาก เพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขับขึ้นภูเขาสูงหรือตามยอดดอย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆ นั้น  หมอกจะมีมากกว่าปกติ เราสามารถเปิดไฟชนิดนี้ในการขับขี่ได้ครับ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว แต่เมื่อฝนหยุดตกและขับเข้าถนนที่ไม่เปียกก็ต้องปิดไฟตัดหมอกทันทีนะครับ ไม่ผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสามารถเอาผิดกับท่านได้อย่างแน่นอน
4. กรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้
5. ควรปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน


มารยาทในการใช้ไฟตัดหมอก
โดยปกติแล้วไฟตัดหมอกจะส่องไปในแนวระนาบต่ำขนานกับพื้นถนน ช่วยให้ผู้ขับขี่รายอื่นสามารถมองเห็นรถของท่านได้ในระยะไกล และต้องปิดไฟตัดหมอกเมื่อการมองเห็นชัดเจนหรือมีรถขับสวนทางมา เมื่อขับผ่านบริเวณที่มีหมอกลงจัด ห้ามเปิดไฟสูงเพราะแสงไฟจะสะท้อนความขาวของหมอกมาเข้าตาเราทำให้จ้ามากขึ้น และจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้ามองไม่ค่อยเห็นทาง เนื่องจากเกิดเงาของรถยนต์ขึ้นในหมอกข้างหน้า  และห้ามเปิดไฟฉุกเฉินกะพริบเพราะจะสร้างความสับสนกับรถคันอื่น นอกจากนี้ ท่านต้องคอยสังเกตุป้ายสัญลักษณ์เตือนสัญญาณไฟต่างๆ อย่างตั้งใจ เพราะในกลุ่มหมอกจะเห็นป้ายสัญญาณเตือนต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน
 fog-5
การขับขี่รถในเส้นทางที่มีหมอกหนา ถนนจะลื่นกว่าปกติ จึงไมควรแซง เปลี่ยนเลนหรือหยุดรถกระทันหันโดยเด็ดขาดแต่ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวรถก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ต้องใช้ทั้งสัญญาณไฟและเสียงแตรเพื่อบอกให้รถคันอื่นรู้ว่า ท่านจะทำอะไรเพื่อให้เขาระวังตัวด้วย ถ้ามีละอองฝ้าจับที่กระจกรถยนต์ ให้เปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อไล่ไอน้ำที่เกาะกระจกหน้ารถ ลดความเย็นของระบบปรับอากาศลง พร้อมกับเปิดระบบไล่ฝ้าที่กระจกหลัง แต่ถ้าฝ้ายังไม่หายให้เปิดกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้อุณหภูมิภายในและภายนอกตัวรถเท่ากันเร็วขึ้นจะทำให้ฝ้าหายไปได้



ขับรถหน้าหนาว ปิดแอร์ ลดกระจกรับอากาศบริสุทธิ์
สุดท้ายการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว ควรปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างรับลมเย็นภายนอกบ้างก็ดีครับ นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งแล้ว เรายังได้รับอากาศบริสุทธิ์ สดชื่น จากธรรมชาติริมทาง แต่ถ้าไม่ชอบให้ลมปะทะหน้าหรือตีผมจนปลิวไสว ก็สามารถปิดแอร์ขับรถได้ โดยกดปุ่ม A/C ที่ย่อมาจาก Air Compressor เพื่อตัดการทำงานของชุดคอมแอร์ พร้อมกับปรับสวิทช์การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร เป็นรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร วิธีนี้นอกจากจะได้ลมเย็นๆ แล้ว ยังช่วยทำความสะอาดชุดคอยล์เย็นไปด้วยในตัวสามารถช่วยระบายกลิ่นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ของตู้แอร์ให้หายไปได้ด้วยครับ
fog-6

ที่มา : lydrivethai.com
เรียบเรียง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

รถวิ่งอืด กินน้ำมัน ไส้กรองตัน! คุณแก้ได้

     ไส้กรองอากาศ (Air Filter) มีหน้าที่สำคัญในการดักฝุ่นละอองจากอากาศไม่ให้เข้าไปในห้องเครื่อง อากาศที่สะอาดจะทำให้กระบวนการสันดาปของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ หากมีฝุ่นละอองเข้าไปในห้องเครื่อง จะทำให้รถคุณวิ่งช้าลงเนื่องจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ และอายุการใช้งานเครื่องยนต์สั้นลง


 เราควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก 10,000 กิโลเมตร หรือควรถอดออกมาทำความสะอาด ทุกๆ 2,000-5,000 กิโลเมตร โดยขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น ถ้าขับรถยนต์อยู่ในเมืองเป็นประจำ หรือใช้งานในเส้นทางที่มีฝุ่นมาก ก็ควรทำความสะอาดบ่อยครั้งกว่า เรามีวิธีทำความสะอาด และเปลี่ยนในแบบง่ายๆที่คุณเองก็ทำได้

     วิธีทำความสะอาดไส้กรองอากาศ
  1. เปิดฝากระโปงรถ
  2. แกะคริปที่ฝาครอบกรองอากาศ
  3. แกะฝาครอบกลองอากาศออก (ฝาไส้กรองอากาศจะอยู่ด้านบนของเครื่องยนต์ ซ้าย – ขวา แล้วแต่รุ่นรถ)
  4. ค่อยๆใช้มือจับไส้กรองดึงออกมา
  5. เป่าฝุ่นไส้กรองอากาศจากด้านในออกไปด้านนอก จนกว่าไม่เห็นละอองฝุ่น
  6. ใส่ไส้กรองอากาศกลับเข้าที่เดิม

        ขั้นตอนเปลี่ยนไส้กรองอากาศ
    1. เตรียมไส้กรองอากาศใหม่ (ตามรุ่นรถที่ใช้)
    2. เปิดฝากระโปรงรถออก
    3. แกะคริปที่ฝาครอบกรองอากาศ
    4. แกะฝาครอบกลองอากาศออก
    5. ดึงไส้กรองอากาศเก่าออกมา (สังเกตแผ่นกรองอากาศ มีคราบสกปรกหนาแน่น)
    6. นำไส้กรองอากาศใหม่มาใส่แทน 
    7. ปิดฝาครอบ (เสร็จสิ้นขั้นตอน)
         เพียงคุณทำตามขั้นตอนที่แนะนำ รถที่เจอปัญหาวิ่งอืดและจะหายไป อย่าลืมว่าอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์มีอายุการใช้งานต้องบำรุงรักษา หากปล่อยปะละเลยคุณอาจต้องเสีย ค่าซ่อม ค่าอะไหล่ แพงกว่าเดิมคิดแล้วได้ไม่คุ้มเสีย 


         ขอบคุณบทความจาก SILKSPAN.COM 
         เรียบเรียง : kcycar.com

    ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook
    
    

    The Hel(l)met Show Ep.22 :ผู้ว่าฯรับทำหมันรถยนต์กรุงเทพ คุมกำเนิดรถใหม่ คนซื้อต้องมีที่จอด



    ผู้ว่าฯรับทำหมันรถยนต์กรุงเทพ ′คุมกำเนิดรถใหม่′ คนซื้อต้องมีที่จอด  
    ปัญหาการจราจรติดขัดดูเหมือนจะเป็นภาพจำของความเป็นกรุงเทพมหานครไปแล้วแค่นึกถึงชื่อถนนอย่างลาดพร้าวพระราม4สุขุมวิท รัชดา และ รามคำแหง ต่างก็ถูกร้องยี้เพราะขึ้นชื่อว่ามีรถติดมากอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ และเป็นเส้นทางสำคัญที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นทั้งย่านธุรกิจ และ ย่านที่อยู่อาศัย ซึ่งเชื่อมต่อกรุงเทพฯทั้งเมืองเข้าด้วยกัน

    ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือพรรคการเมืองไม่ว่าจะสมัยใดๆ ต่างก็ชูเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องแก้ไขมาเป็นสิบปี แต่นับวันดูเหมือนว่าปัญหารถติดจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นก่อนหน้านี้ กทม.ก็พยายามแก้ไขมาต่อเนื่องทั้งด้วยวิธีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การสร้างเครือข่ายการเดินทาง การควบคุมรถส่วนบุคคลในการเข้าพื้นที่ชั้นในการพัฒนาระบบโดยสารของรถประจำทาง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพพื้นผิวจราจร  

    ล่าสุด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจราจรซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานทั้ง การควบคุมรถส่วนบุคคลในการเข้าพื้นที่ชั้นใน การพัฒนาระบบโดยสารของรถประจำทางรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพพื้นผิวจราจร  แต่แนวคิดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดตกเป็นของแนวคิด “คุมกำเนิดรถใหม่” สำหรับผู้ที่จะซื้อรถยนต์ใหม่ ต้องมีที่จอดที่แน่นอน เพื่อควบคุมปริมาณรถยนต์ที่จะเพิ่มขึ้น

    เนื่องจาก กทม.เห็นว่า การเดินทางของผู้คนในกรุงเทพนั้นเป็นการเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนเพียง 40เท่านั้นที่เหลือส่วนใหญ่คือการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล จากปัจจุบันที่มีปริมาณรถยนต์ 8ล้านคัน ก็มีวี่แววว่าจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคันในเวลาไม่กี่ปีจากนี้ เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถใหม่ที่เพิ่มขึ้นกว่า3,500 คันต่อวันนั่นหมายถึงปัญหาการจราติดขัดในกรุงเทพฯก็มีสาเหตุหลักมาจากรถยนต์ส่วนบุคคลกทม.

    อ.พิชญ์ตั้งคำถามว่า อะไรคือวิธีคิด หรือ ฐานคิดในการกำหนดนโยบายสาธารณะเช่นนี้ เพราะต้องคิดให้รอบด้าน และการกำหนดให้คนที่ไม่มีที่จอดรถแล้วห้ามซื้อรถยนต์นั้นจะเป็นหลักประกันได้อย่างไรว่าจะช่วยแก้ไขปัญหารถติดได้

    เนื่องจากประเด็นที่สำคัญคือเรื่อง ที่ดิน ที่โดยธรรมชาติแล้ว ในเมืองใหญ่ อาทิ โตเกียว นิวยอร์ก หรือที่อื่นๆ ที่ดินมีราคาสูงมากทำให้ไม่ค่อยมีที่จอดรถ หรือมีแต่ก็จะต้องเสียค่าจอดราคาแพง  ทำให้คนที่ต้องเดินทางในเมืองมีการปรับตัวไม่นิยมการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล แต่หันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการควบคุมของรัฐ

    แต่นโยบายคุมกำเนิดรถในกทม.นั้น ต้องดูสภาพความเป็นเมืองของกรุงเทพที่ไม่ได้มีผังเมือง หรือการกำหนดโซนที่อยู่อาซัย หรือ โซนธุรกิจที่ชัดเจนกทม.อยู่ในรูปแบบของ MixLand Use ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพชั้นนอกหรือชั้นในก็มีคนอาศัยอยู่และมีรถยนต์อยู่ด้วย การจำกัดว่ารถ 1 คันต้องมีที่จอด จะถือเป็นการผลักไสให้คนต้องขยับไปอยู่นอกเมืองหรือไม่แต่เมื่อคนออกไปอยู่พื้นที่ชั้นนอกซึ่งมีระยะทางไกลระบบขนส่งมวลชนก็อาจไปไม่ถึงหรือไม่สะดวกนัก

    ขณะที่คุณสุรนันทน์มองว่านโยบายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในเมื่อคนมีกำลังที่จะซื้อระบบสถาบันการเงินก็เอื้อให้คนซื้อได้ ก็ไม่ควรที่จะไปตัดสิทธิ์ประชาชนหรือไม่?และการแก้ปัญหารถติดก็ไม่ควรทำเป็นเรื่องๆ แต่ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆแก้ไขร่วมกันด้วย ทั้งการวางแผนผังเมือง การพัฒนาขนส่งมวลชนร่วมด้วย

    สุดท้ายรายการ The Hel(l)met Show ก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ชมทุกท่านในการผจญปัญหารถติด ตราบใดที่เรายังต้องทำงานและใช้ชีวิตในมหานครแห่งนี้แต่ตอนนี้ทั้ง อ.พิชญ์ และคุณสุรนันทน์ ก็ขอหันไปปั่นจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์หนีปัญหารถติดกันแล้ว !!

    ที่มา : MatichonOnline
    เรียบเรียง : kcucar.com  

    ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook
    
    

    ประวุฒิสั่งยกเลิกตั้งด่านลอยทั่วปท.มีผลวันนี้-ขู่ฝืนโดนเด้ง

    โฆษก ตร. สั่งยกเลิกตั้งด่านลอยทุกชนิด ทั่วประเทศ มีผลวันนี้ ขู่ฝืนโดนเด้ง หาก ประชาชนพบเห็นแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที
    พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนที่ปรึกษา สบ 10 ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสจากประชาชนจำนวนมากเรียกร้องให้มีการยกเลิกการตั้งด่านลอยของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ว่า ในวันนี้จะมีการเรียกประชุมผู้รับผิดชอบงานจราจรพร้อมมีคำสั่งให้ยกเลิกการตั้งด่านลอยทุกชนิดทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จากนี้ไปหากมีการตั้งด่านจะต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสารวัตรเป็นผู้ควบคุม โดยจะต้องมีการแสดงป้ายให้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างละเอียดว่า เป็นการตั้งด่านจุดไหนและเป็นด่านประเภทใดให้ชัดเจน 
    ทั้งนี้ หากพบว่าเจ้าหน้าที่รายใดฝ่าฝืนคำสั่ง หรือแอบตั้งด่านลอยก็อาจมีการลงโทษ โดยการมีคำสั่งให้มาช่วยราชการหรือย้ายออกจากหน้าที่อย่างไม่มีการละเว้น ไม่ว่าจะเป็นชั้นประทวนหรือสัญญาบัตร เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเรียกความศรัทธาจากประชาชนคืนมาอีกครั้ง ทั้งยังเป็นการลดข้อครหาจากประชาชนที่ต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าได้รับผลประโยชน์หรือเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งใบสั่งจราจร 
    นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า จากนี้ไปอาจเสนอให้ทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดจับภาพผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรและจะมีการออกใบสั่งจากการกระทำผิดด้วยหลักฐานจากกล้องแทนการตั้งด่าน ให้เสร็จสิ้นทั้งหมดภายใน 3 เดือน และกำลังจะเสนอให้ขยายอายุความของใบสั่งเพิ่มจาก 1 ปีให้เป็น 3 ปี นอกจากนี้ หากประชาชนยังคงพบเห็นการตั้งด่านลอยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ สามารถถ่ายภาพหรืออัดคลิปวิดีโอ ส่งเข้ามายัง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ของเพจ "รายงานสภาพการจราจร ตำรวจ หรือ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสามารถโทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนได้ที่หมายเลข 1197 ได้ทันที

    ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook
    
    

    ติด อุปกรณ์ขนจักรยาน จุ๊บไขลาน ถูกปรับเหตุไม่แจ้งขนส่งฯ ได้หรือไม่

       หลังมีข้อถกเถียงกันในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับพ.ร.บ.รถยนต์ ในประเด็นการเปลี่ยนแปลง แก้ไขสภาพรถยนต์ในรูปแบบต่างๆ ว่าถูกกฎหมาย หรือต้องเเจ้งกับกรมขนส่งฯ หรือไม่ เนื่องจากมีผู้มาเผยแพร่ว่า ถูกตำรวจนำมาเป็นข้ออ้างในการจับปรับรถที่ตนเห็นว่ามีความผิดในฐานดังกล่าว

    ล่าสุด กรมการขนส่งทางบก ออกหนังสือชี้แจงยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยปัจจุบันกรมการขนส่งฯ ได้รับร้องเรียนจากเจ้าของรถเกี่ยวกับการแก้ไขดัดแปลงสภาพรถ และติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งรถ หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น การเสริมแหนบกันชน อุปกรณ์ขนจักรยาน หรือจุ๊บไขลาน เป็นต้น 

    ทั้งนี้ เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาดัดแปลงสภาพรถ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนทำให้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก และต้องการให้กรมการขนส่งทางบกชี้แจงการแก้ไขดัดแปลงดังกล่าวแจ้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ

    โดยกรมการขนส่งฯได้ชี้แจงในหนังสือฉบับนี้ว่าการแก้ไขดัดแปลงสภาพรถที่ต้องแจ้งขออนุญาตต่อนายทะเบียนเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้เจ้าของรถต้องแจ้งต่อนายทะเบียน เพื่อแก้ไขรายการในเอกสารใบคู่มือจดทะเบียนให้ถูกต้องก่อนนำรถไปใช้งาน ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนเครื่องยนต์, สีรถ, การติดตั้งโครงหลังคา หรือโครงเหล็กด้านในรถ, ฝาปิดด้านท้ายติดตั้งอุปกรณืทุ่นแรงยกสิ่งของ, หรือการเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง รวมทั้งการแก้ไขเปลี่ยนตัวถังรถ ระบบรองรับน้ำหนัก ระบบกันสะเทือน ระบบบังคับเลี้ยว และระบบขับเคลื่อน
    สำหรับการแก้ไขดัดแปลงรถที่ไม่ต้องแจ้งขออนุญาตนั้น ได้แก่ การติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งรถหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างเช่น แร็คหลังคา, โรลบาร์, บันไดขึ้น-ลงรถ, สปอยเลอร์, แม็กไลน์เนอร์, กันชน, อุปกรณ์ขนจักรยาน, และจุ๊บไขลาน เป็นต้น เนื่องจากเป็นการเสริมเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้สภาพรถเปลี่ยนไป หากขนาดและตำแหน่งที่ติดตั้งเหมาะสมมีความแข็งแรงมั่นคงปลอดภัยในการใช้งาน รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของผู้อื่น การแก้ไขดัดแปลงดังกล่าวไม่ถือเป็นความผิด 



    MatichonOnline

    ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook
    
    

    การโอนลอย เขาโอนกันอย่างไร มีเอกสารใดบ้าง

          การโอนลอย ตามความหมายของกรมขนส่งคือ การที่เจ้าของรถได้ขายรถของตนแล้ว และทำการลงนาม ในเอกสารการโอนรถ และใบมอบอำนาจให้ผู้ซื้อ โดยมิได้มีการดำเนินการทางทะเบียนที่สำนักงานขนส่ง
    1. หากผู้ซื้อไม่ดำเนินการเรื่องโอนให้แล้วเสร็จ และนำรถนั้นไปก่อความเสียหาย ผู้ขายจะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เนื่องจากข้อมูลทางทะเบียนของทางราชการ ซึ่งมีไว้เพื่อการตรวจสอบ ยังเป็นชื่อของผู้ขาย (เจ้าของเดิม) อยู่
    2. หากผู้ซื้อไม่ดำเนินการเรื่องโอนให้แล้วเสร็จ ผู้ซื้ออาจเสียประโยชน์ เนื่องจากข้อมูลทางทะเบียนรถนั้น ยังไม่มีการแจ้งเปลี่ยนเป็นชื่อของผู้ซื้อ เมื่อปล่อยเวลานานไป เอกสารการโอนที่ผู้ขายมอบไว้ให้อาจใช้ไม่ได้ หรือสูญหายไป ซึ่งหากท่านไม่มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถ ก็จะไม่สามารถดำเนินการทางทะเบียนในเรื่องใดๆ ได้
    ในการซื้อขายรถยนต์ ก็ยังเป็นวิธีการที่สะดวกในการทำธุรกรรมด้านซื้อ- ขายรถยนต์ แต่อย่างลืมครับการโอนลอยยังเป็นวิธีการโอนรถยนต์ที่เสี่ยงอยู่มาก เช่น ถ้าเอกสารไม่ครบ หรือถูกปลอมแปลง ลายเซ็นไม่ครบ บัตรหมดอายุ รถติดคดีความ ทางสำนักงานขนส่งมักจะไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้น นอกจากจะให้คุณกลับบ้านมาเก็บเอกสารใหม่อย่างเดียว อย่างนี้ถ้าท่านคิดจะซื้อ-ขายรถยนต์ เรามาดูกันสักนิดครับว่า ต้องใช้เอกสารใด และควรตรวจทานระวังอย่างไรบ้าง จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลัง ตรวจทานให้ดีก่อนการเลือกซื้อรถ
    1. สมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์ เป็นเอกสารครอบครอง สังหาริมทรัพย์ อย่างหนึ่ง สิ่งที่ต้องตรวจความถูกต้องควรมีดังนี้
    1.1 เลขทะเบียนรถ จะต้องตรงกับป้ายทะเบียนรถยนต์ (ป้ายต้องเป็นของแท้มี ขส) ป้ายต่อทะเบียน และพ.ร.บ.
    1.2 ปีที่จดทะเบียน ซึ่งจะระบุเป็น พ.ศ. ถ้าอยากทราบว่าเป็น ค.ศ. เท่าไรต้องลบด้วย ....
    1.3 สี , หมายเลขเครื่อง , หมายเลขตัวถัง ต้องตรงกับ ตัวถังรถยนต์ และ หมายเลขเครื่องยนต์ที่ติดอยู่กับตัวรถ
    1.4 ชื่อเจ้าของรถ ต้องตรวจดูชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ , เลขที่บัตร , ที่อยู่ ให้ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ
    1.5 รายการเสียภาษี หน้า 16 – 17 ตรวจดูว่ามีรายการเสียภาษีครบทุกปี ไม่ขาดต่อทะเบียน หรือแจ้งจอด ยกเลิกการใช้งาน
    1.6 รายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ หน้า 18 – 19 ตรวจดูว่ามีรายการบันทึกในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลรถอย่างไร เช่นการแจ้งย้าย แจ้งเปลี่ยนสี เปลี่ยนหมายเลขเครื่อง หรือขอใช้ทะเบียนบ้านในเขตไหน ต้องมีรายการบันทึกครบถ้วน
    1.7 ลายมือชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต้องเซ็นให้ถูกต้องชัดเจน ตรงกับลายเซ็นในหนังสือต่างๆ
    2. หนังสือสัญญาซื้อ – ขาย รถยนต์ เป็นหนังสือสัญญานิติกรรม ระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย ที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ต้องกรอกทุกรายละเอียด เช่น วันที่ , รายละเอียดผู้ขาย , รายละเอียดผู้ซื้อ , ราคาซื้อขาย , กำหนดการมัดจำและรับรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการโอน ว่าผู้ใดเป็นผู้ออกค่าโอน ลงชื่อผู้ซื้อ , ผู้ขาย และพยาน ระบุวันและเวลาที่ขาย และที่ได้รับรถไปแล้ว หนังสือตัวนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างสูง ต้องถือไว้ทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย ใช้แสดงประกอบการโอน มีผลทางด้านกฎหมาย เมื่อผู้ซื้อนำรถไปเกิดอุบัติเหตุ หรือใช้รถในการกระทำผิดกฎหมาย หรือผู้ขายอาจนำไปแจ้งรถหาย หรือนำเอกสารไปทำอย่างอื่น ต้องมีการตรวจเช็ครายละเอียดให้ดีทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย
    3. แบบคำขอโอนและรับโอน เป็นหนังสือของทางกรมขนส่งทางบก ต้องใช้เมื่อต้องยื่นประกอบเอกสารการโอนรถยนต์ ต้องระบุวันที่ ชื่อรายระเอียดผู้โอน ผู้รับโอน เลขทะเบียน รายละเอียดเกียวกับรถที่โอน ราคาซื้อขาย และต้องลงลายมือชื่อทั้งผู้โอน และผู้รับโอน ให้ถูกต้องตามช่อง ที่ระบุไว้ครบทุกช่อง
    4. สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน ของผู้ขาย และต้องตรงกับบัตรประชาชนตัวจริงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่หมดอายุ ทะเบียนบ้านต้องตรงกับหนังสือทะเบียนบ้าน ไม่มีการแจ้งย้าย หรือหมดอายุ ซึ่งผู้ขายต้องมีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ลงลายมือชื่อ หรือกำหนดรายละเอียดไว้ว่าใช้ในการโอนรถยนต์, แจ้งย้าย , เปลี่ยนสี , เปลี่ยนเครื่อง หรืออื่นๆไว้เป็นปลอดภัยที่สุด ถ้ารถต้องมีการแจ้งย้าย เปลี่ยนสี หมายเลขเครื่อง หรืออื่นๆ ต้องเพิ่มจำนวนอีกอย่างละชุด
    5. หนังสือมอบอำนาจ เป็นหนังสือมอบหมายการกระทำใดๆเกี่ยวกับทะเบียนรถ ซึ่งเจ้าของรถไมสามารถมาดำเนินการเองได้ โดยต้องมีรายละเอียด วันที่ , ชื่อผู้มอบ และรับมอบ ระบุรายการที่ผู้มีอำนาจทำการแทน และลงลายมือชื่อ ให้ถูกต้องทั้งชื่อผู้มอบ , ชื่อผู้รับมอบ , พยาน และปิดอากรแสตมป์
    6. หนังสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับผู้ขาย เช่น หนังสือเปลี่ยนชื่อและนามสกุล หนังสือหย่า ใบมอบมรดก และอื่นๆที่ต้องใช้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเอกสารสำคัญทางราชการ ในกรณีที่เป็นรถบริษัท ไฟแนนซ์ , ประกันภัย ,หรือมอบมรดก ต้องเตรียมเอกสารเช่น หนังสือรับรองบริษัท,ใบเสร็จรับเงิน , ใบเสียภาษี , และอื่นๆที่ใช้ต้องตรวจดูรายเซ็น ให้ถูกต้องและครบถ้วน
    7. หนังสือยินยอม ในกรณีที่ขอใช้ในกรุงเทพ หรือในจังหวัดเดิมในทะเบียนรถ ต้องเตรียม หนังสือยินยอม ให้ทางเจ้าของรถเดิมเซ็นยินยอมขอใช้รถในทะเบียนบ้านเดิม หรือหาเจ้าบ้าน ที่มีชื่อ ที่อยู่ ในเขตที่ต้องการขอใช้ทะเบียนรถ และเซ็นรายมือชื่อ พร้อมแนบ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนอีกหนึ่งชุด
    8. ใบเสร็จต่างๆ เช่น ใบเสร็จซื้อเครื่องยนต์ ในกรณีที่ยังไม่ได้เปลี่ยนหมาเลขเครื่อง ใบเสร็จค่าเปลี่ยนสีรถยนต์ ที่ถูกต้องมีใบรับรองเสียภาษี หรือใบวิศวกรองรับการดัดแปลงรถยนต์ ใช้ในกับรถที่ยังไม่ได้แจ้งการดัดแปลง เช่นระบบขับเคลื่อน ระบบเบรก การเปลี่ยนหลังคา หรือการซ่อมจากอู่ที่ต้องมีการตัดต่อ หรืออะไหล่ตัวถังรถ
    สรุปเอกสารสำคัญ
    1. สมุดทะเบียนรถ รายละเอียดถูกต้อง และมีลายมือชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตรงกับเอกสารอื่นๆ
    2. หนังสือสัญญาซื้อขาย ต้องระบุรายละเอียด วันและเวลารับรถ ลายมือชื่อผู้ขาย – ผู้ซื้อ และพยาน
    3. แบบคำขอโอนและรับโอน ต้องลงลายมือชื่อทั้งผู้โอน และผู้รับโอน ให้ถูกต้องตามช่อง ที่ระบุไว้ครบทุกช่อง
    4. สำเนาทะเบียนบ้านบัตรประชาชน ต้องเซ็นรับรองสำเนา ให้ถูกต้อง และต้องไม่หมดอายุ
    5. หนังสือมอบอำนาจ ต้องมีลายเซ็นของผู้มอบอำนาจ
    6. เอกสารเปลี่ยนแปลง เช่นใบเปลี่ยนชื่อ นามสกุล หรือใบหย่า ที่ต้องใช้เปลี่ยนแปลงเอกสารราชการ
    7. หนังสืออื่นๆ ในกรณีที่เป็นบริษัท ไฟแนนซ์ ประกันภัย
    8. ใบเสร็จต่างๆ ที่ใช้ควบคู่ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในรายการในทะเบียนรถ
    เท่านี้การโอนลอยก็ถือว่าไม่เป็นเรื่องยุ่งยาก หรือต้องกังวนอีกต่อไป ไม่ต้องวิ่งไปกลับบ้านผู้ขาย กับขนส่งให้เสียเวลา เสียน้ำมัน หรือเสียอารมณ์ แต่ทางที่ดีเมื่อได้เอกสารมาแล้วควรรีบไปโอนโดยเร็วที่สุดดีกว่าครับ เพราะเอกสารบางตัวอาจมีการหมดอายุ เจ้าของเดิมเกิดเสียชีวิต หรืออื่นๆ อาจต้องเสียเวลามากไปกว่าเดิมอีก ต้องระวังไว้ด้วยครับ
    ข้อมูลโดย thaispeedcar 
    เรียบเรียง : kcycar

    ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook