Toyota C-HR Concept เวอร์ชั่น 5 ประตูเผยโฉมแล้วที่งาน Frankfurt Motor Show 2015

 Toyota C-HR Concept เวอร์ชั่น 5 ประตูใหม่ล่าสุด ถูกเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งาน Frankfurt Motor Show 2015 จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา


 Toyota C-HR เวอร์ชั่น 5 ประตูมีดีไซน์ต่างจากรุ่น 3 ประตู ที่เคยเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2014 เล็กน้อย แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็พท์การออกแบบ 'Keen Look' ที่เน้นเส้นสายให้ดูมีมิติรอบคัน เน้นดีไซน์ให้ดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น มาพร้อมตัวถังสีเทาใหม่ และหลังคากระจกสีดำ
     โตโยต้า ซี-เอชอาร์ คอนเซ็พท์ ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แพล็ตฟอร์ม 'TNGA - Toyota New Global Architecture' ที่พบได้ใน 'Prius' โฉมใหม่ล่าสุดเช่นกัน ซึ่งแพล็ตฟอร์มดังกล่าวเน้นประสิทธิภาพการทรงตัวและการขับขี่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ออกแบบให้มีขนาดเล็กลง แต่ให้ความประหยัดมากขึ้น

ขณะที่เวอร์ชั่นจำหน่ายจริงนั้น มีลุ้นว่าจะถูกเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2016 ที่จะถึงนี้











ที่มา : auto.sanook


ตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เทคนิคเลือกรถปิกอัพ


     รถปิกอัพไทยที่ก้าวไกลทั้งเทคโนโลยีและเต็มไปด้วยการแข่งขัน มีให้เลือกหลากรุ่นหลายยี่ห้อ และมีสารพัด รายละเอียดทางเทคนิค ย่อมทำให้เกิดความสับสนในการเลือกซื้อขึ้นได้ เลือกอย่างไรให้คุ้มค่า ให้ตรงจุดประสงค์ที่แท้จริง พัฒนาการทางเทคโนโลยี
รถปิกอัพไทย แม้จะมีพื้นฐานมาจากการเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์และเพื่อการขนส่ง แต่ด้วยความนิยมและลักษณะการใช้งานของคนไทย ส่งผลให้แนวทางการพัฒนารถปิกอัพทุกยี่ห้อพลิกผัน จนปัจจุบันนี้กลายเป็นยานยนต์อเนกประสงค์อย่างเต็มตัวไปแล้ว และมีชื่อเรียก ชวนงงว่า PPV-PICK-UPASSENGER VEHICLE เป็นทั้งรถปิกอัพและรถนั่งในคันเดียวกัน นั่งก็ได้ บรรทุกก็ดี แรงเร็วไม่แพ้รถเก๋ง และที่สำคัญคือ มีการปรับราคาขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้ถูกกว่ารถเก๋ง คอมแพกต์ซีดาน นิดเดียวเท่านั้น เมื่อมีราคาแพง และแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีอย่างดุเดือด ก็ย่อมเกิดความสับสนในการเลือกซื้อได้ง่าย

เลือกซื้อรถปิกอัพรุ่นใด ให้คุ้มค่าเงินที่สุด ?
คำถามที่พบได้บ่อยๆ เพราะใครๆ ก็อยากจ่ายเงินอย่างคุ้มค่า แต่ถามโดยไม่ได้ฉุกคิดว่า รถทุกประเภททุกรุ่นย่อมมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน ไม่มีดีโดยรวมๆ หรือดีทุกด้านเหนือกว่ารุ่นอื่นทั้งหมด ตั้งหลักเลือก อย่าเพิ่งรีบคิดปิดทางตั้งแต่เริ่มต้นว่า ก็มีเงิน แต่ไม่มีความรู้เรื่องรถยนต์ แล้วจะไปรู้รายละเอียดได้อย่างไรว่า รถปิกอัพรุ่นใด มีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร ? จริงที่คนส่วนใหญ่ซึ่งกำลังจะตัดสินใจซื้อรถ ไม่มีความรู้ลึกล้ำเพียงพอว่ารถรุ่นใด มีอะไรเด่นมีอะไรด้อย จึงต้องมาหาข้อมูลจากคนอื่น แต่ลึกๆ ก็มีความต้องการในรายละเอียดอยู่
ตั้งหลักใหม่ให้ถามตัวเองว่า เน้นคุณสมบัติด้านใดเป็นพิเศษ และด้านใดรองลงมา เช่น เน้นประหยัด ชอบห้องโดยสารกว้าง อยากได้แรงๆ เน้นศูนย์บริการดี อะไหล่ถูก หรือต้องบรรทุกหนักได้ดี ฯลฯ ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีรถปิกอัพรุ่นใด เด่นครบไปทุกคุณสมบัติ เช่น แรง แต่ประหยัด ห้องโดยสารกว้าง นุ่มนวล ทนทาน ศูนย์บริการเพียบ อะไหล่ราคาถูก
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสรุปความต้องการที่แท้จริงของตนเองให้ได้ก่อน ยกเว้นจะซื้อมาใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นอะไร ขอให้ไม่เสียกลางทางพาไปถึงจุดหมายได้ก็พอ คุณสมบัติด้านใดๆ ขอกลางๆ ก็พอ อย่างนั้นซื้อรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดกันมากๆ ก็พอได้ ไม่ต้องเสียเวลาเฟ้นหา
การเลือกซื้อรถปิกอัพรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดระดับหัวแถว มิได้หมายความว่าจะได้รุ่นที่มีคุณสมบัติต่างๆ เด่นไปทั้งหมด เพราะยอดจำหน่ายรถในไทย ไม่ได้มีตัวแปรอยู่ที่คุณภาพเท่านั้น หลายคนซื้อตามกระแสสังคม หรือซื้อตามความรู้สึก คิดไปเอง เช่น ดีไม่ดีหรือตรงกับความต้องการหรือไม่? ไม่ทราบ แต่เห็นใช้กันเกลื่อนถนน หรือใครๆ ในหมู่บ้านก็ซื้อใช้กัน ก็เลยซื้อตาม เพราะเดาไปเองว่า รถรุ่นนั้นต้องมีอะไรดีแน่ๆ ถึงได้รับความนิยม ซึ่งคนที่ซื้อเหล่านั้น อาจจะเน้นแค่ความประหยัดน้ำมันฯ หรือไม่เน้นอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วตัวเราเน้นสมรรถนะและความแรง ความประหยัดไม่ค่อยสน เพราะขับวันละไม่กี่สิบกิโลเมตร อย่างนี้ถ้าไปเลือกตามกระแสสังคม (ตามตัวอย่าง) ก็คงผิดหวัง
ในเมื่อมีจุดเด่น ก็ต้องมีจุดด้อย เมื่อเฟ้นหารถปิกอัพรุ่นที่มีคุณสมบัติเด่นตรงใจได้แล้ว ก็ต้องทำใจ กับจุดด้อยอื่นๆ ให้ได้ ไม่ใช่มีจุดเด่นแล้วไม่ยอมให้มีจุดด้อยเลย หลังจากสรุปความต้องการของตนเอง แม้ไม่ง่ายที่จะหาข้อมูลจริงว่า รถปิกอัพรุ่นใดจะมีคุณสมบัติตรง ตามต้องการ แต่ก็ไม่ถือว่ายากนัก ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร เช่น ถามคนรู้จักที่เคยใช้หลายคนเท่าที่จะหาได้ ถามในสารพัดสื่อสารมวลชน ที่มีหลายแขนง นิตยสาร รายการวิทยุ เวบไซต์ ฯลฯ ควรถามให้มากคนมากแหล่งที่สุดเท่าที่สะดวก เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า ข้อมูลนั้นจะไม่ ผิดเพี้ยนเลย บางคนตอบโดยบริสุทธิ์ใจแต่ไม่รู้จริง ตอบตามความรู้สึกของตนเอง บางคนเอนเอียงเพราะใจชอบอยู่แล้ว

ตัวถังแบบใด
ไม่มีแค็บ, 2 ประตูมีแค็บ หรือ 4 ประตูตัวกระบะสั้น เลือกตามลักษณะการใช้งานที่แท้จริง หรือเลือกตามการขายต่อ

ถ้าเลือกตามการใช้งานจริง
ตัวถังแบบไม่มีแค็บ ราคาถูก ตัวกระบะยาว ขนของได้สะใจ เหมาะสำหรับการใช้ขนส่งสินค้าอย่างจริงจัง เพราะตัวกระบะยาว ไม่ต้องมีส่วนแค็บด้านหลังเบาะหน้าให้เกะกะและหนัก แต่การขายต่อจะยาก และราคาตกกว่าแบบ 2 ประตูมีแค็บหรือ 4 ประตู
ตัวถัง 2 ประตู แบบมีแค็บ ดูเหมือนจะอเนกประสงค์และได้รับความนิยมที่สุด เพราะพอจะนั่งเบียดกัน ได้หลังเบาะหน้า รวมแล้วพอไปได้ 5 คน ตัวกระบะด้านหลังมีความยาวมากพอจะขนของได้เหลือเฟือ การขายต่อสะดวกและได้ราคาดี เพราะความอเนกประสงค์นั่นเอง
ตัวถัง 4 ประตูตัวกระบะสั้น อเนกประสงค์ แต่เน้นการใช้งานในห้องโดยสารที่ดีมากกว่าการบรรทุกหนัก แม้นั่งบนเบาะหลังได้ไม่สบายเท่ารถเก๋ง แต่ก็สะดวกกว่าแบบ 2 ประตูมีแค็บมาก ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ห้องโดยสารมี 4 ประตู แต่ตัวกระบะหลังสั้นมาก บรรทุกของได้น้อยที่สุดในกลุ่มทางเลือก การขายต่อได้ราคาดี แต่หาคนซื้อไม่ง่ายเท่ากับตัวถังแบบ 2 ประตูมีแค็บ ซึ่งมีราคาถูกกว่าและใช้งานได้อเนกประสงค์ทั้ง 2 ด้านพอๆ กัน นั่งก็พอได้ บรรทุกก็ได้มาก

ทำใจกับจุดด้อยพื้นฐาน
นอกจากจุดด้อยของรถปิกอัพแต่ละยี่ห้อที่แตกต่างกันซึ่งต้องทำใจแล้ว ยังต้องทราบไว้ด้วยว่า รถปิกอัพทุกรุ่นทุกยี่ห้อ มีจุดด้อยขั้นพื้นฐานเหมือนๆ กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าเรียกร้องหรือเฟ้นหาเกินตัว รถปิกอัพเกิดมาบนพื้นฐานของรถเพื่อการขนส่ง แม้จะมีการพัฒนานำสารพัดเทคโนโลยี และความสะดวกสบายเพิ่มเข้าไป เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่นำรถปิกอัพไปใช้งานแบบรถเก๋ง ไม่ได้บรรทุกจริงจัง แต่ไม่ว่าจะพัฒนาไปมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่ขยับเข้าไปใกล้ๆ รถเก๋งเท่านั้น ไม่สามารถเท่าเทียมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะด้านความนุ่มนวล การทรงตัว และการบังคับควบคุม เพราะพื้นฐานของช่วงล่าง ที่ต้องออกแบบไว้เผื่อการบรรทุกหนักนั่นเอง ดังนั้น ถ้าขับรถปิกอัพแล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมกระด้างไม่นิ่มไม่เกาะเท่ารถเก๋งเป๊ะๆ

เทคโนโลยีสูง น่ากลัวไหม?
ด้วยกระแสการแข่งขันทางการตลาดและการควบคุมมลพิษของทางราชการ ทำให้รถปิกอัพไทยมีเทคโนโลยี ใหม่ๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง รถเก๋งมีอะไรปิกอัพก็ไม่น้อยหน้า เอบีเอส แอร์แบ็ก เทอร์โบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ คอมมอนเรล พกกันมาเพียบ หลายคนจึงเกิดความหวาดระแวงว่า อะไรที่ไฮเทค ถ้าเสียแล้วจะซ่อมยากหรือซ่อมแพง อ้าวถ้าอย่างนั้นปี 2002 นี้ก็ต้องดูทีวีขาวดำ ดูวีดีโอ ไม่ต้องดูทีวีสี หรือวีดีโอ-ซีดี มนุษยชาติล้วนมีพัฒนาการอยู่เสมอ โดยเฉพาะสินค้าที่พัฒนาขึ้นมาทำตลาดในเชิงพาณิชย์ มีการแข่งขันกัน ถ้าไฮเทค แต่เสียง่าย ซ่อมแพง ก็คงโดนคู่แข่งตีตาย
ในกรณีของเทคโนโลยียานยนต์ อย่างเครื่องยนต์เบนซิน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เครื่องยนต์หัวฉีด แบบอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่งเริ่มแพร่หลายในไทย ทั้งผู้ซื้อและช่างล้วนหวาดกลัวว่าจะจุกจิกหรือต้องซ่อมแพง แต่พอวันเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่า ถ้าใครจะซื้อรถมือสองอายุ 10-15 ปี ที่มีทั้งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์หัวฉีดหรือคาร์บิวเรเตอร์ให้เลือก คราวนี้กลับหาซื้อรุ่นหัวฉีดกัน หรือช่างซ่อมรถในปัจจุบัน กลับเมินหน้าหนีเมื่อเจอเครื่องยนต์ แบบคาร์บิวเรเตอร์รวนเข้ามาซ่อม
กรณีของรถปิกอัพก็เช่นเดียวกัน หลายเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่แต่ก่อนคนไทยกลัว กลับกลายเป็นเรื่องปกติและเป็นที่ต้องการ แต่ก่อนไม่มีเทอร์โบ พอเริ่มมีก็กลัวพังง่าย แต่ปัจจุบันนี้ ถ้าไม่มีกลับไม่ชอบ เพราะกลัวไม่แรง หรือเอบีเอส แอร์แบ็ก ก็เรียกร้องกันว่าควรมีให้ อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีอันทันสมัย แม้ทราบกันดีว่า ถ้าเสียก็ต้องเสียเงินซ่อมแพง แต่ก็ควรยอมรับกันได้ เพราะแลกมาได้กับประสิทธิภาพ และความทนทาน ดีกว่าเน้นซ่อมถูก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ต้องทนใช้อยู่ตลอด ตราบใดที่โลกยังหมุนไป ย่อมมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเสมอ อย่างรถปิกอัพไทย ไม่น่าเกิน 2 ปีข้างหน้า รุ่นสูงสุดของแต่ละยี่ห้อ จะใช้หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมมอนเรล อัดอากาศด้วยเทอร์ โบ และมีกำลังแถวๆ 150 แรงม้าทุกยี่ห้อ

มลพิษ เรื่องใกล้ตัวที่ถูกเมิน
การเลือกซื้อรถปิกอัพ คนส่วนใหญ่มักสนใจคุณสมบัติของตัวรถที่สัมผัสได้ เช่น แรงไหม เร็วไหม กินน้ำมันเท่าไร เกาะไหม นุ่มแค่ไหน ? จ่ายเงินตั้งหลายแสนบาท ก็ต้องขอความคุ้มค่าที่ตรงใจและได้ใช้จริง แทบไม่มีใครสนใจ ในการตัดสินใจซื้อเลยว่า รถรุ่นนี้ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับใด ผ่านแค่ตามมาตรฐานที่ราชการกำหนด หรือผ่านในระดับที่สะอาดกว่ากำหนด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่สนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ในชาติใดๆ ก็เป็นเช่นนั้น ราชการจึงมีหน้าที่ตั้งกฎข้อบังคับออกมา เพื่อไม่ให้อากาศของลูกหลานของเราในอนาคต มีมลพิษปะปนอยู่มากเกินไป
หากคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ลองหาโอกาสไปยืนริมถนนกลางเมืองที่มีการจราจรติดขัด มีตึกบังอยู่รายรอบ ลมไม่ค่อยหมุนเวียน แล้วลองนึกเปรียบเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า ความสะอาดของอากาศที่ผ่านจมูกเข้าไป แตกต่างกันแค่ไหน หากจะนำระดับของมาตรฐานไอเสีย ไปเป็นตัวแปรหนึ่งในการตัดสินใจ ก็นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะอากาศไม่ได้เป็นของคนรุ่นเรา และไม่ใช่เป็นมรดกของลูกหลานที่เราจะทำลายยังไงก็ได้ แต่ ณ วันนี้เป็นการขอยืมอากาศของลูกหลานมาใช้ต่างหาก ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ลึกๆ ให้ปวดหัวว่ามาตรฐานไอเสียระดับใด ต้องมีก๊าซพิษแต่ละตัว เท่าไรต่อเท่าไร ดูง่ายๆ ก็พอว่า ผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร สเต็ปเท่าไร เพราะไทยอ้างอิงตามยุโรป ตัวเลขของสเต็ปยิ่งมาก แสดงว่า เป็นมาตรฐานระดับใหม่ และไอเสียต้องสะอาดกว่าตัวเลขระดับน้อยๆ
ปิกอัพไทยกลายเป็นรถอเนกประสงค์นั่งก็ได้บรรทุกก็ได้ แต่ราคาก็แพงขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระดับ 5-7 แสนบาทเข้าไปแล้ว ความคุ้มค่าจึงอยู่ที่ความรอบคอบและการศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ

จำไว้เลยว่า ไม่มีรถปิกอัพยี่ห้อใดดีที่สุด แต่จะมีดีและเหมาะสมกับแต่ละคนแตกต่างกันออกไป 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
เรียบเรียง : kcycar

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

กฤษฎีกา ยัน เบี้ยวค่าปรับ′ต่อภาษีรถ′ได้-จ่อเพิ่มโทษ ไม่เสียค่าปรับโทษถึงคุก!

      

    พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยถึงความคืบหน้า เรื่องการขอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)จราจรทางบก พ.ศ.2522 ว่าจากที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาขอแก้ไขกฎหมายจราจรให้มีประสิทธิภาพ ในการบังคับใช้กับผู้กระทำความผิดให้มากยิ่งขึ้นนั้น ที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอให้กฤษฎีกาตีความใน 8-9 ประเด็น 

แต่ในประเด็นเรื่องการขอให้กรมการขนส่งทางบก อายัดการต่อภาษีประจำปีหากผู้เสียภาษีโดนใบสั่งแล้วไม่มาชำระค่าปรับนั้น ทางกรมการขนส่งทางบก เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำได้ และในส่วนของคณะกฤษฎีกาก็ไม่ผ่านความเห็นชอบ ทำให้ประเด็นนี้ตกไป แต่ทั้งนี้กฤษฎีกาได้ให้ข้อแนะนำว่าการขอแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรฯ ให้ทำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจเท่านั้น ดังนั้นทางตำรวจจึงได้กลับมาดูในรายละเอียดอีกครั้งและเตรียมเสนอใหม่อีกรอบ ในเรื่องการขอเพิ่มอัตราโทษปรับ 

ในส่วนที่ 1 หากผู้กระทำผิดได้รับใบสั่งแล้ว ไม่มาชำระค่าปรับจะให้มีโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ซึ่งจากเดิมปรับไม่เกิน 1,000บาท และปรับขั้นต่ำ 200 บาท 

ส่วนที่ 2 เมื่อครบ 60 วัน ยังไม่มาชำระค่าปรับ จะเพิ่มโทษเป็นปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท 
และส่วนที่ 3 หากครบ 180 วัน ยังไม่มาชำระค่าปรับจะจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในข้อหานี้สามารถนำขึ้นศาลแขวง เพื่อให้ศาลพิจารณาโทษจำคุกได้ 

พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ ทางตำรวจ จะไม่ยื่นเสนอขอแก้ไขในเรื่องอายัดภาษี ไม่ต่อทะเบียนรถ หากไม่มาชำระค่าปรับอีกแล้ว เนื่องจากข้อเสนอดังกล่าวถูกตีตกถึง 2 รอบ แต่ในส่วนการขอเพิ่มอัตราโทษปรับขณะนี้ในขั้นตอนของทาง บช.น. ได้มีการลงนามในข้อเสนอแล้ว เพื่อเสนอต่อให้สำนักกฎหมายและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแก้ไขและนำเสนอต่อกฤษฎีอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบได้และผ่านเข้าสู่กระบวนการให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาต่อไป 

ส่วนในการยื่นเสนอชำระค่าปรับ ผ่านเคาร์เตอร์เซอร์วิส ที่ทางตำรวจได้ยื่นเสนอให้กฤษฎีกาพิจารณานั้น ขณะนี้ได้รับความเห็นชอบจากทางกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็ต้องรอให้ สนช. มีความเห็นชอบอีกเช่นกัน ซึ่งคาดว่าภายในเร็วๆนี้ ซึ่งประชาชนจะได้รับความสะดวกขึ้นในการชำระค่าปรับ


MatichonOnline

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


กรมขนส่งฯจัดแถว′ใบขับขี่′ ′สอบใหม่-ไม่มีตลอดชีพ′



หลังจากเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการพิจารณาการออกใบอนุญาตขับรถสำหรับผู้เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ พ.ศ.2558 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2558 เป็นต้นไป

ประกาศนี้ กำหนดให้ผู้เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ (ไม่ได้มีสาเหตุจากการขาดคุณสมบัติเรื่องอายุ) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รถยนต์ พ.ศ.2522 จะไม่สามารถขอรับใบอนุญาตขับรถฉบับใหม่ได้ จนกว่าจะพ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว ผู้ขับขี่รายนั้นต้องการขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่อีก ต้องเข้าสู่กระบวนการเหมือนผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถรายใหม่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตมาก่อน จะได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราวแล้วแต่กรณี

กรณีผู้ขับขี่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคลตลอดชีพ จะไม่มีการออกใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคลตลอดชีพทดแทนแต่อย่างใด

ผู้ถูกเพิกถอนต้องการขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่จะต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพ เข้ารับอบรมกฎหมายจราจรและการขับขี่ปลอดภัยจำนวน 4 ชั่วโมง ทดสอบข้อเขียนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ 50 ข้อ ต้องทำให้ได้เกณฑ์ผ่าน 45 ข้อ ต้องทดสอบขับรถในสนามสอบมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก และเพิ่มเติมการอบรมเกี่ยวกับการเสริมสร้างจิตสำนึก การปรับพฤติกรรมการขับรถเป็นกรณีพิเศษ อีกจำนวน 3 ชั่วโมง

ยกเว้นการถูกเพิกถอนจากกรณีขาดคุณสมบัติเรื่องอายุ เพราะเมื่ออายุครบตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดก็สามารถดำเนินการขอใบอนุญาตขับขี่ ใหม่ได้โดยไม่ติดเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วน บุคคลชั่วคราวต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า18 ปีบริบูรณ์ และผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์

สุชาติ กลิ่นสุวรรณ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า การใช้มาตรการเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ และการกำหนดระยะเวลางดเว้นไม่ให้ขับรถบนท้องถนนช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย และรักษาความสงบเรียบร้อยบนท้องถนน คัดกรองผู้ขับรถไม่มีคุณภาพออกจากท้องถนนเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก

ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน

ยืน ยันว่ากรมการขนส่งทางบกจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาออกใบอนุญาต ขับรถให้แก่ประชาชน ทั้งการเพิ่มจำนวนชั่วโมงอบรมความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรการ เพิ่มจำนวนข้อสอบข้อเขียน โดยเฉพาะผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ถือเป็นผู้ไม่เหมาะสมในการขับขี่ยานพาหนะ หรือมีระดับความสามารถในการขับขี่ต่ำอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคมและ ประชาชนโดยรวม

อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ได้กำหนดไว้ในบทลงโทษ เช่น ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการ ให้ตรวจสอบผู้ขับขี่ หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจการให้ทดสอบผู้ขับขี่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

กรณีตรวจพบสารเสพติดต้องระวาง โทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุ ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีกหนึ่งในสาม และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือนหรือ เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ทั้งนี้หากการกระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าสองปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

นอกจากนี้ ยังมีมาตราเกี่ยวข้องกับการแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ขณะ เดียวกันยังมีกฎหมายห้ามผู้ขับขี่รถขณะเมาสุราหรืออย่างอื่นฝ่าฝืนต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนบาทและให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อย กว่าหนึ่งปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

หากกระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ อันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึง หนึ่งแสนสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าสองปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ทั้งนี้หากพิจารณาจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าการเพิกถอนใบอนุญาตขับ ขี่จะสามารถดำเนินการได้โดยกระบวนการทางศาลพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ.2522 ยังระบุไว้ด้วยว่า ในคดีผู้ขับขี่ต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือ กฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้นๆ นอกจากจะได้รับโทษสำหรับการกระทำดังกล่าวแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าหากให้ผู้นั้นขับรถต่อไปอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือ ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นได้

แต่กรณีศาล เห็นว่าพฤติกรรมของผู้กระทำผิดอยู่ในวิสัยจะแก้ไขฟื้นฟูได้ ศาลอาจมีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นและให้ผู้นั้นทำงานบริการ สังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ภายใต้เงื่อนไขและระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้อยู่ ในความดูแลของพนักงานคุมประพฤติเจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การมีวัตถุประสงค์เพื่อการบริการสังคม การกุศลสาธารณะ หรือสาธารณประโยชน์ที่ยินยอมรับดูแลด้วยก็ได้

ส่วนผู้ขับขี่รถในระหว่างถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ตามคำสั่งของศาลนั้น จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทด้วย

แหล่งข่าวจากกรมการขนส่งทางบกให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าปัจจุบันมีพ.ร.บ. 2 ฉบับ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คือ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก 2522 ที่ผ่านมาเนื้อหาใน พ.ร.บ.ขนส่งทางบก กำหนดเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตไว้อยู่แล้ว ให้ผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สามารถทำใบขับขี่ได้อีกครั้ง หลังพ้นกำหนด 3 ปี แต่ใน พ.ร.บ.รถยนต์ ตกเนื้อหาในส่วนนี้ไป ดังนั้นทางกรมการขนส่งทางบกจึงได้ออกประกาศเพิ่มเติมเพื่อให้มีความชัดเจนเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้ง 2 พ.ร.บ.มากขึ้น และที่ผ่านมาผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตก็จะใช้ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก เพื่อทำใบอนุญาตใหม่อีกครั้งอยู่แล้ว

นับเป็นความพยายามของภาครัฐ เพื่อจัดระเบียบของผู้ขับขี่ยานยนต์ให้คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกครั้ง หลังจากปัญหาการใช้รถใช้ถนนของคนไทย เกิดขึ้นมาอย่างเรื้อรังและยาวนาน 



MatichonOnline


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เวลาไหนเหมาะสุด ที่จะซื้อรถยนต์


เวลาไหนเหมาะสุด ที่จะซื้อรถยนต์
การตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ครั้นจะเร่งไปก็อาจจะไม่ดีนัก และเวลาที่ถูกต้องเหมาะสมคือ ส่วนที่ช่วยให้คุณมีชัยที่สำคัญในการซื้อแต่ละครั้ง และมันทำให้ได้รถที่คุ้มค่าคุ้มราคา ด้วยแรงผลักดันจากความต้องการในการขาย และช่วงเวลาไหนบ้างที่สมควร
1.ซื้อรถส่งท้ายปี แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า เวลาส่งท้ายปี คือโอกาสที่รถยนต์รุ่นเก่าจะหมดไปรุ่นใหม่จะเข้ามาในปีหน้า แต่นี่คือช่วงที่เหมาะสมที่จะซื้อรถ สำหรับคนที่ไม่ติดว่ารถรุ่นกำลังจะเปลี่ยนโฉม หรืออย่างน้อยที่สุด คือคุณพอทราบแล้วว่ารถที่หมายปองยังจะไม่มีการปรับตัวแน่ ตรงนี้ถ้ามั่นใจแนะนำให้ซื้อ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ทุกค่ายรถต้องการผลงานส่งท้ายปี ดังนั้น  ทำให้ในช่วงนี้เป็นเวลาที่จะมีค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้น อีกพอสมควร บางรุ่น แทบจะเทกระจาดให้กันไปเลย ดังนั้นใครจะซื้อรถช่วงนี้ถือว่าโอเค
2.ช่วงมอเตอร์โชว์ ในช่วงที่มีการจัดงานแสดงรถยนต์ โดยมากแล้ว การค่ายรถยนต์มักจะพยายามเดินหน้าดันยอดขายเพื่อสนองต่อการซื้อรถยนต์มากขึ้น ซึ่งทำให้ค่าทางการตลาดของรถยนต์แต่ละรุ่นมีมากขึ้น แม้จะไม่เห็นเป็นตัวเงิน แต่หลายครั้งจะพบว่า ของแถมเยอะขึ้น พอสมควร และมันคือช่วงที่น่าสนใจ
3.ในช่วงหน้าฝน เชื่อหรือไม่ว่าช่วงหน้าฝนหรือไตรมาส 3 เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการซื้อรถยนต์ที่สุดด้วย ส่วนหนึ่ง รถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นจะพร้อมให้เลือกสรรในช่วงนี้ ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อน ช่วงปลายปี และ ทำให้คุณมีโอกาสที่จะเลือกได้อย่างจุใจ แต่โปรโมชั่นอาจจะไม่มากอย่างที่คุณคิดก็แค่นั้น
4.ช่วงก่อนปิดทำการ ความขี้เกียจของคนยังเป็นอะไรที่ใช้ได้ทุกวันนี้ และการซื้อรถเชื่อหรือไม่ว่า การเจรจากับเซลล์ ในช่วงก่อนปิดทำการแต่ละวันจะทำให้คุณได้เปรียบ ทั้งเงินจองที่ไม่ต้องมาก หรือ จะของแถมแบบจัดเต็ม เพราะอยากกลับบ้าน และทริคนี้จะใช้ได้ดีขึ้น เมื่อคุณซื้อรถมือสอง เพราะ บางครั้งทั้งวันเขาอาจจะขายไม่ได้เลย และคุณคือลูกค้าที่เป็นรายสุดท้ายที่มีความเป็นได้มากที่สุด
5.ช่วงปลายเดือน ในช่วงปลายเดือนนั้น คือช่วงปิดยอดและมันทำให้ผู้คนทำงานแบบเร่งฝีจักรเต็มที่ และทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการซื้อรถ เมื่อลูกค้าคือพระเจ้า แล้วเขาก็ต้องการยอด ซึ่งอาจจะหมายถึงการพิจารณาโบนัส หรือความเป็นความตายของเซลล์ คนนั้นๆ ด้วยในบางเดือน บางทีเขาอาจจะยอมเฉือนเนื้อเพื่อรักษาชีวิตให้รอด
ช่วงเวลาทั้งหมดนี้ ถ้าดูแล้ว มันคือช่วงที่เหมาะสมจริงๆในการซื้อรถ เพียงแต่ คุณต้องทำความเข้าใจก่อนจะตัดสินใจ และไม่ใช่ทุกครั้งที่เซลล์จะให้อะไรมากกว่าเสมอไป เพราะทุกอย่างอาจอยู่ในเงื่อนไขของการทำงานซื้อ-ขายรถยนต์ของบริษัทนั้นๆด้วย
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
เรีบยเรียง kcycar.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


เปิดตำนาน HONDA CIVIC รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน

       
กำเนิด Civic เปิดตำนานรถครอบครัว
Honda civic  เป็นผลงานชิ้นเอกของ Honda ตั้งแต่อดีตมาจวบจนปัจจุบัน โดยโครงการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1972 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีการเติบโตค่อนข้างสูง ประกอบกับกำลังจะมีงาน Osaka Expo และ Sapporo Winter Olympic และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนา Honda Civic


ช่วงแรก Honda แนะนำในรุ่น 2 ประตู ช่วงเดือนกรกฏาคม ก่อนตามมาด้วยเรือนร่างตัวถัง 3 ประตู และ 5 ประตู ในช่วงเดือนกันยายน ตอบโจทย์ด้วยเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาด 1169 ซีซี แต่ที่โดดเด่นคือภายในที่ดีเทียบเท่ากับรถยนต์ Mini จากเกาะอังกฤษ
แรกๆ Civic ยังไม่มีออพชั่นมันมาพร้อมระบบต่างเพียงแค่ตอบสนองการใช้งาน เช่น ระบบปัดน้ำฝน 2 สปีด ล้อสีธรรมดา กับน็อตล้อชุดโครมเมี่ยม  แต่ในปี 1973 เกิดภาวะวิกฤติการณ์น้ำมัน หรือ Oil Crisis มันก็กลายเป็นที่นิยม และ Civic เป็นรถไม่กี่รุ่นที่สามารถตอบโจทย์ความประหยัดได้ ทั้งยังใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วได้ ก่อนจะมีการแนะนำเครื่องยนต์ที่เรียกว่า CVCC  หรือ Compound Vortex Controlled Combustion เพื่อตอบสนองในการเข้าไปรุกตลาดรถยนต์ในอเมริกา ที่มีความเข้มงวดในเรื่องมลภาวะไอเสียและเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ใช่ตัวกรองไอเสีย Catalytic converter เป้นตัวกรอง

โฉม 2 ขยายปรับร่างพร้อมสมรรถนะมากขึ้น
หลังจากประสบความสำเร็จในรุ่นแรก 7 ปีให้หลัง Honda Civic กลับมาอีกครั้ง กับรถยนต์โฉมที่ 2 ของค่าย ที่ยังคงความเป็น Honda Civic เหมือนเดิม แต่มีการปรับเพิ่มให้ทันยุคสมัยมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของสมรรถนะที่มีความประหยัดมากยิ่งขึ้น และการขับขี่ที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น ภายใต้ปรัชญา “High-Quality Car Representing 1980s Values”


ในปี 1981 Honda Civic มีการขยายเรือนร่างเพิ่มขึ้นจากเดิม เติมรุ่น Station Wagon รวมถึงรุ่น 4 ประตู พร้อมนำเสนอระบบเกียร์อัตโนมัติ  Honda-Matic  ซึ่งตอนแรกมีเพียง 2 เกียร์ และตอนหลังถูกเพิ่มให้มี 3 เกียร์ ที่สำคัญรถโฉมนี้ยังได้รับรางวัล  “U.S. Import Car of the Year 1980” จาก นิตยสารรถยนต์  Motor Trend  ด้วย

โฉมเปลี่ยนหน้าตา เริ่มคุ้นหน้าคนบ้านเรา
Honda Civic  มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโฉม 3 ของรถรุ่นนี้ ที่เริ่มแนะนำในช่วงปี 1983 ภายใต้ปรัชญา “Maximum Space for People, Minimum Space for Mechanisms” หรือพื้นที่กว้างสำหรับคน,น้อยลงสำหรับเครื่องจักร ถือเป็นอะไรที่สร้างความแตกต่าง
ตัวรถมีการผลิตออกมาตอบสนองโจทย์การใช้งานหลายแบบทั้ง 3, 4 และ 5 ประตู แต่ที่โดดเด่น คือ ในปี 1984 หรือ พ.ศ. 2527  Honda ได้แนะนำเครื่องยนต์แบบแคมคู่เข้ามา โดยนำเอาเทคโนโลยีของบริษัทจากรถแข่งสูตร 1 หรือ Formula-1 มาสู่ถนนและเปิดตัวด้วยชื่อ Honda Civic  Si ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส ZC  ให้กำลังสูงสุด 130 แรงม้า และนอกจากนี้ยังมีการปรับแต่งระบบช่วงล่างให้ตอบสนองมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นต้นกำเนิดเวอร์ชั่นสปอร์ตในรถรุ่นนี้


สิ่งที่เปลี่ยนแปลงใน Honda Civic โฉม 3 ยังมีเรื่องการออกแบบที่ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น มากับเส้นสายหลังคายาวถือว่าล้ำยุคมากในช่วงนั้น ทำให้มันได้รับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 1984 ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนทางฝั่งอเมริการถรุ่นนี้ก็ขึ้นชื่อว่า “ใช้น้ำมันอย่างคุ้มค่า” จากการทดสอบของ Environmental Protection Agency หรือ EPA
แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่มีแฟนฮอนด้าตัวยงบางคน กล่าวว่า นี่คือ  Honda Civic รุ่นแรกที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยจากข้อมูลที่ได้ทราบรถยนต์ Honda Civic  รุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2527-2529 โดยเป็นรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น แต่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหน้าตามันมากนัก ก่อนที่รุ่นต่อมาจะเป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทย

โฉม 4 รุ่นนี้ที่คนไทยคุ้นหน้าในนาม “ซีวิคเตารีด”
ตำนาน Honda Civic ยังคงความเป็นรถยนต์ที่ประหยัดชั้นนำอย่างต่อเนื่อง และในโฉมที่ 4 ของรถรุ่นนี้คือครั้งแรก ที่ Honda Civic เข้ามาจำหน่ายในไทยอย่างจริงจัง ในรหัสตัวถัง EF หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่า “Honda Civic  รุ่นเตารีด” จนชินปาก แต่ก็มีบางคนบอกว่านี่คือ “โฉมท้าย 2 ชั้น”


รถรุ่นนี้เริ่มแรกเข้ามาขายในนามของบริษัท ฮอนด้า คาร์ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาตั้งบริษัท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ในบ้านเรา โดยในไทยมีจำหน่ายเฉพาะ 4 ประตูเท่านั้น แต่ก็เป็นรถรุ่นหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าทนทาน ดูแลรักษาง่าย ทำให้ปัจจุบันแม้จะผ่านไปกว่า 20 ปี เราก็ยังพอจะเห็นรถรุ่นนี้วิ่งอยู่บนถนน ในสภาพดี

โฉม 5 พลิกชะตากับกำเนิด 3 ประตู 
ในการกลับมาของ รถยนต์  Honda Civic โฉมที่ 5 หลายคนในบ้านเรามักจะเรียกันสับสนว่านี่คือโฉมเตารีด แต่ไม่ว่าอย่างไร มันคือรถรุ่นที่ขึ้นชื่อมากในรหัสตัวถัง EG สร้างความสง่าผ่าเผยในตลาดด้วยทรวดทรงที่โค้งมล ดูดีกว่าจนหลายคนหามาครอบครองกัน อันนี้ผมยังจำได้ติดตาตอนช่วงที่ผมวัยรุ่นและได้เห็นรุ่นนี้เป็นครั้งแรก บอกได้เลยว่าสวยจับใจ ดูทันสมัยมากๆและก็ชอบขึ้นมาเลยทีเดียว และรุ่นนี้เอง ที่บ้านผมก็ได้ซื้อมาใช้อยู่ 16 ปี และต้องยอมรับว่าของเค้าดีจริงๆ


การเปลี่ยนทรวดทรงให้โค้งมลลบเหลี่ยมของรถทุกจุดออกไปสร้างความทันสมัยปราดเปรียวดูดี โดยเริ่มแรกมาพร้อมโฉม 4 ประตูซีดานที่ได้รับความนิยม และต่อมาไม่นานมีการวางจำหน่ายในเวอร์ชั่น 3 ประตู เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และ รถ ซีวิค รุ่นนี้ที่เป็น 3 ประตู ถูกเรียกว่า “ซีวิค 3 ประตู” หรือบางคนเรียกมันว่า “สามดอร์”  ซึ่งเป็นหนึ่งในรถมือ 2 ที่มีราคาตกน้อยที่สุดในตลาดเพราะได้รับความนิยมในความสปอร์ตของตัวรถที่ยังดูดีอยู่จนปัจจุบันแถมยังสามารถนำมาแต่ง และยังมีความเป้นซิตี้คาร์เข้ากับยุคสมัยดูแล้วไม่เก่า
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกประการของ Honda Civic ในโฉมที่ 5 นี้ยังมีเรื่องเครื่องยนต์เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ โดยในช่วงกลางโฉมรถรุ่นนี้มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเดิมที่เป็นคาร์บูเรเตอร์ ก็แนะนำสู่หัวฉีด โดยใช้ตัวอักษรย่อ I ในการแทนรุ่นหัวฉีด ต่อจากอักษรย่อของรุ่น เช่น  LXi  Exi ซึ่งถ้าไม่มีหมายถึงรถเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์นั่นเอง

โฉม  Honda Civic ตาโต หน้าตาที่ยังคุ้นเคยกันดี
จาก Honda Civic EG  วันเวลาก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. 2539  Honda Civic ใหม่ เผยโฉมด้วยการพัฒนาการออกแบบให้ตอบสนองความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเส้นสายที่ดูดียิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้าที่กลมโต ทำให้กลายเป็นฉายาว่า “civic ตาโต”
เรือนร่างที่ปรับแต่งใหม่นี้ถูกแนะนำด้วยเครื่องยนต์ขนาดเดียวคือ 1.6 ลิตร แต่มีระบบเกียร์ให้เลือก 2 รุ่น คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์ อัตโนมัติ 4 สปีดและพร้อมกันนี้ Honda  ได้เริ่มเฟดสายการผลิตเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ออกไป จนในที่สุด รถยนต์ Honda ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 เป็นเครื่องยนต์แบบหัวฉีดทั้งหมด


สิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำคัญในรถรุ่นนี้อยู่ที่การปรับโฉมย่อยเป็นครั้งแรก ที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างเช่นกระจังหน้า ไฟหน้า ไฟท้ายและเครื่องยนต์นิดหน่อย เช่นเดียวกับ การนำเสนอรถยนต์ Honda Civic Coupe เวอร์ชั่น 2 ประตูที่นำเข้ามาขายครั้งแรกและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งใต้ฝากระโปรงนั้นมันมาพร้อมเครื่องยนต์รหัส  D16Y ให้กำลังสูงสุด 126 แรงม้า และปัจจุบันซีวิคคูเป้เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตคูเป้ที่ยังคงมีราคาดีในตลาดมือสอง
แม้หน้าตารถรุ่นนี้จะดูคุ้นหน้ากันอย่างดี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว Honda และ Isuzu ได้มีการจับมือเป็นพันธมิตรกันทำให้เกิดเป็นรถยนต์ Isuzu Vertex  ขึ้นมาภายใต้การนำโครงสร้างของ  Honda Civic ไปใช้แปะตราในนาม Isuzu โดย Honda แลกเอากับกระบะ Isuzu ไปแปะตรา Honda  ขายในนาม Tour Master

โฉม 7th Civic ไดเมนชั่น ก้าวล้ำยุค 2000 ยังครองใจ
ในช่วงปี พ.ศ. 2543  Honda Civic  กลับมาอีกครั้ง ด้วยเรือนร่างใหม่ปรับให้โดนใจยิ่งขึ้น และรถรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถรุ่นแรกๆ ในตลาดบ้านเราที่นำหลักอากาศพลศาสตร์เข้ามาใช้ในการสร้างสรรค์ตัวถังเป็นการปรับวิถีการออกแบบรถยนต์ในยุคนั้น


การนำหลักการนี้มาใช้ ทำให้  Honda นำเสนอ Honda Civic ใหม่ด้วยโฆษณาที่ใช้สโลแกนว่า “มุมมองใหม่แห่งยนตรกรรมเหนือระดับ” จึงเป็นที่มาของการเรียกรถรุ่นนี้ว่า “ไดเมนชั่น” แต่ถ้าเรียกกันให้ถูกจริงๆตามหลัก Honda Civic  รุ่นนี้ มีรหัสตัวถังว่า ES  โดยบ้านเราขายเพียงเฉพาะรุ่น 4 ประตูเท่านั้น และเป็น Honda Civic  รุ่นสุดท้ายที่มีเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ระบบช่วงล่างจากปีกนกอิสระ 2 ชั้นไปสู่แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท โดยแนะนำเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.7 ลิตร และมีการพัฒนาระบบไฮบริดสำหรับรถรุ่นนี้ด้วยแต่ไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป้นทางการ แต่มีการมาวิ่งทดสอบในบ้านเรา
ในช่วงปี 2004 Honda Civic มีการปรับโฉมเล็กๆ อีกครั้ง ด้วยการปรับให้เส้นสายตัวถังคมขึ้น ใบหน้าดูโฉบเฉี่ยวขึ้น ทำให้บางคนเรียกรถรุ่นนี้ว่า “ตาเหยี่ยว” โดยการปรับเปลี่ยนดังกล่าวสามารถสังเกตได้จากที่หน้าและไฟท้ายของตัวรถ ที่แตกต่างเล็กน้อย และในรุ่นนี้มีการแนะนำเครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร เข้ามาเป็นพื้นฐานใหม่ พร้อมกับการแนะนำเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร VTEC  เข้ามา

โฉม 8  Civic FD  เปิดตำนานใหม่ Civic  
ช่วงปีพ.ศ. 2548 Honda Civic กลับมาอีกครั้งในแบบยกเครื่องใหม่หมดจดด้วยการแนะนำ Honda Civic ใหม่ที่กลับมาภายใต้การปรับเปลี่ยนยกเครื่องพัฒนาเต็มขั้น ด้วยสโลแกน “Rising Spirit” และได้รับความสนใจมาก ด้วยทรวดทรงที่ล้ำสมัยมากเหนือคู่แข่ง มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตร รวมถึงภายในทันสมัย มีการแนะนำไมล์เรืองแสงแบบ 2 ชั้น พร้อมวัดความเร็วแบบดิจิตอล


Honda Civic รุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถที่ขายดีทั่วโลก โดยในปี 2006 สามารถขายไปได้ถึง 16.5 ล้านคัน ก่อนที่ในช่วง พ.ศ. 2551 จะมีการปรับปรุงรถรุ่นนี้ โดยเพิ่มความสามารถให้มันตอบรับความประหยัดได้ด้วยความสามารถในการใช้น้ำมัน E20 ตามนโยบายของ Honda จากภาวะราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นก่อนที่จะปรับหน้าตา และมีเวอร์ชั่นไฟท้าย โดนัทแบบ LED ออกมา
Honda Civic รุ่นนี้เลิกสายการผลิตไปในปีที่แล้ว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนน้ำท่วม และยังสร้างชื่อก่อนจะลาโฉมนี้ไปด้วยรายวัล  Thailand Car of the Year  ประจำ ปี 2009  ที่สามารถคว้าไปได้ในประเภทกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และยังเป็นรุ่นแรกที่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จับมาแข่งขันในรายการ Civic One Race อีกด้วย

โฉม 9 ตำนานบทใหม่แห่งวันนี้
ตั้งแต่เมี่อต้นปี 2011 Honda Civic กลับมาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรถต้นแบบออกมาอย่างเป็นทางการในต่างประเทศ และความทันสมัยของข้อมูลข่าวสาร ทำให้มันถูกวิพาษ์วิจารณ์ทั่วโลก ด้วยก่อนหน้านี้ในปี 2010 ก็มีภาพสปายช๊อตหลุดออกมาเช่นเดียวกัน


การกลับมาของ Honda Civic  ใหม่ อาจจะไม่สวยงามจากคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญในวงการรถยนต์อย่าง Consumer Report แต่ท้ายที่สุดหลังจากที่ต้องลงตลาดในปีที่แล้วช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป Honda Civic ก็มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555
การกลับมาในครั้งนี้ Honda Civic ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตรรหัสเดิม โดยแนะนำภายใต้สโลแกน Progressive Soul หรือ สู่ตัวตนแห่งความสมบูรณ์แบบ โดยครั้งนี้ Honda ทุ่มทุนทำให้สามารถรองรับน้ำมัน E85 ได้ และยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบประหยัด Econ Mode  และระบบ Eco Assist ช่วยในการขับขี่อย่างประหยัด โดยมีการแนะนำจำหน่าย 5 รุ่น มีราคาตั้งแต่ 773,000 บาท – 1.124 ล้านบาท
แม้จะเพิ่งเปิดตัวในบ้านเรา แต่ในกระแสต่างประเทศการวิพาษ์วิจารณ์อย่างหนักทำให้  นาย ทากะโนบุ อิโตะ บอสใหญ่ของ Honda ออกมาแสดงความรับผิดชอบและมีการแย้มถึงการเร่งปรับโฉมรถรุ่นนี้ เพื่อให้ตลาดตอบรับดีขึ้น
ถึงแม้ Honda Civic ใหม่ จะเป็นรถที่กล่าวขานในเรื่องของกระแสสังคมต่อรถรุ่นนี้ แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอดหลายเจนเนเอร์เรชั่นที่ผ่าน Honda Civic คือรถที่ตราตรึงใจคนทั่วโลก ด้วยสมรรถนะความคุ้มค่า ที่วันนี้ New Honda Civic 2012 ก็กลับมาลงตลาดทวงบัลลังค์รถยนต์คอมแพ็คคาร์ ที่เราคงจะต้องจับตากันต่อไปว่า มันจะยังคงความเป็นเจ้าตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ได้หรือไม่ หรือจะโดนคู่แข่งแซงหน้าแล้วฉีกหายไปแบบไม่เห็นฝุ่น
Credit ข้อมูล: Sanook Motor และ ณัฐยศ ชูบรรจง


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook