เลือกน้ำมันเกียร์ผิด เกียร์อาจพังได้!

เลือกน้ำมันเกียร์
เพื่อให้ระบบเกียร์หรือระบบส่งกำลังสามารถทำงานได้อย่างประสิทธิภาพสูงสุด องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ‘น้ำมันเกียร์’ ซึ่งต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อการใช้งาน การเลือกใช้สเปกที่ถูกต้องช่วยให้การทำงานของเกียร์สม่ำเสมอและมีอายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ลูกใหม่บ่อย ๆ แน่นอนว่าถ้าหากเลือกใช้น้ำมันเกียร์ไม่ถูกต้อง หรือคุณภาพต่ำย่อมส่งทำให้เกียร์เกิดการสึกหรอ สั่น มีเสียงดัง สูญเสียกำลัง หรือเกิดความเสียหายในที่สุด ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ใช้พิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกใช้น้ำมันเกียร์
ปัจจัยสำคัญคือ ‘เบอร์ความหนืดน้ำมันเกียร์นั้น’ ขึ้นอยู่กับประเภทของเกียร์ ความเร็วรอบ และอุณหภูมิการใช้ หากคู่มือเครื่องแนะนำเบอร์ความหนืดน้ำมันเกียร์มาแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคู่มือ โดยความหนืดของน้ำมันเกียร์ (Viscosity) จะมีช่วงการใช้งานอยู่ระหว่างในช่วงเกียร์ที่ต้องการความหนืดต่ำ และช่วงที่เกียร์ต้องการความหนืดสูง ค่าความหนืดต่ำเป็นผลดีสำหรับความเร็วสูง เกียร์รับแรงกดดันน้อย ฟันเฟืองเล็ก ความหนืดต่ำให้ฟิล์มน้ำมันบางแรงเสียดทานต่ำ (ประสิทธิภาพเชิงกลสูง) อุณหภูมิต่ำ (ระบายความร้อนได้ดี) ส่วนความหนืดสูงเป็นผลดีสำหรับ ความเร็วต่ำเกียร์เกียร์รับแรงกดดันสูง  ฟันเฟืองใหญ่  ความหนืดสูงให้ฟิล์มน้ำมันหนาทนต่อการสึกหรอสูงและทนต่อสภาวะความดันสูง   สิ่งที่กำหนดน้ำมันเกียร์ตามความหนืดคือ SAE หรือสมาคมวิศวกรยานยนต์ เพื่อเป็นระบบการจัดระดับความหนืดสำหรับน้ำมันเกียร์และน้ำมันเครื่องยนต์ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบ น้ำมันทั้งหมดจะถูกแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ โมโนเกรดและมัลติเกรด
เลือกน้ำมันเกียร์
น้ำมันเกียร์โมโนเกรด ถูกกำหนดโดยเลขจำนวน  (70, 90, 140, 250, ฯลฯ ) เลขจำนวนหมายถึง ระดับของความหนืดของน้ำมันที่อุณหภูมิที่กำหนด หมายเลขยิ่งสูงหมายถึงความหนืดของน้ำมันที่สูงตาม ความหนืดของน้ำมันเกียร์ กำหนดโดยตัวเลขอย่างเดียว ไม่มีอักษร ‘W’ (SAE 80, SAE 90, SAE 140 ฯลฯ ) ระบุการใช้งานที่อุณหภูมิ 212 ° F (100 ° C) นี้หมายถึงน้ำมันเกียร์ที่สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิสูง 100 °C หรือความหนืดของน้ำมันเกียร์ที่กำหนด  มีตัวเลขตามด้วยตัวอักษร ‘W’ (SAE 70W, SAE 75W, SAE 80W ฯลฯ ) ระบุที่อุณหภูมิ 0 ° F (-18 ° C) ตัวอักษร ‘W’ หมายถึงฤดูหนาว(Winter) เกรดเหล่านี้จะใช้สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิต่ำ
น้ำมันเกียร์มัลติเกรด ความหนืดของน้ำมันเกียร์จะมีเสถียรภาพโดยสารโพลิเมอร์ (Improvers ค่าดัชนีความหนืด) ความหนืดของน้ำมันเกียร์ดังกล่าวถูกกำหนดทั้งที่อุณหภูมิสูงและต่ำ น้ำมันเหล่านี้ถูกเรียกว่า Multi Grade และจะกำหนดการใช้งานโดยหมายเลขสองชุดและตัวอักษร ‘W’ (SAE 75W-90, SAE 80W-90, 85W-SAE 140 ฯลฯ )หมายเลขชุดแรกระบุความหนืดของน้ำมันที่อุณหภูมิเย็นหมายเลขชุดที่สองระบุความหนืดของน้ำมันที่อุณหภูมิสูง ยกตัวอย่าง น้ำมัน SAE 85W-140  มีความหนืดที่อุณหภูมิต่ำเหมือนกับ SAE 85W แต่มีความหนืดที่อุณหภูมิสูงแบบเดียวกับ SAE140  ซึ่งเป็นน้ำมันเกียร์ชนิดมัลติเกรดที่ใช้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง
เลือกน้ำมันเกียร์
สรุปได้ว่า การเลือกใช้งานน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเกียร์ธรรมดาหรือเฟืองท้าย ให้ดูจากคู่มือในการใช้รถว่าผู้ผลิตแนะนำให้ใช้น้ำมันเกียร์เบอร์ไหนอย่างไร สิ่งที่ควรระวังในระบบเกียร์คือต้องใช้น้ำมันให้ถูกประเภท เพื่อที่ระบบเกียร์จะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่เกิดความเสียหายต่อระบบเกียร์ สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เบอร์ความหนืด SAE 80W-90 เป็นน้ำมันหล่อลื่นเกียร์แบบมัลติเกรด เป็นน้ำมันหล่อลื่นเกียร์ที่มีความหนืดเบอร์ 90 ส่วน 80W คือมาตรฐานที่บ่งชี้ว่าน้ำมันเครื่องทนอุณหภูมิติดลบได้แค่ไหน ส่วนการเลือกการเลือกน้ำมันเกียร์ออโตเมติกให้ดูที่ข้างขวดหรือแกลอนจะระบุประเภทไว้ชัดเจนว่า ATF-Automatic transmission fluid เป็นอักษรขึ้นต้น เช่น ของศูนย์ HONDA คือ ATF-Z1,ATF-DW1 เป็นต้น และถ้าเป็นเกียร์ CVT (continuously variable transmission) ก็ใช้คำขึ้นต้นนี้เท่านั้น และที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ อีกเกรดก็คือ Dexron-ATF เป็นน้ำมันสำหรับเกียร์อัตโนมัติที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาก ได้รับการเลือกให้นำไปใช้กับเกียร์อัตโนมัติของรถยี่ห้อต่างๆ กว่า 70% ของโลกแห่งเกียร์อัตโนมัติก็ว่าได้
เห็นได้ว่าน้ำมันเกียร์มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเกียร์ ดังนั้นผู้เป็นเจ้าของรถควรจะเลือกใช้น้ำมันเกียร์ตามคำแนะนำในคู่มือและคำแนะนำในการบำรุงรักษาของผู้ผลิตรถยนต์ ทั้งนี้เพื่อให้เกียร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : https://www.roojai.com/article/your-car/how-to-choose-gear-oil/
เรียบเรียง : www.kcycar.com

เลือกน้ำมันเครื่องแบบไหน ให้ตรงกับความต้องการของรถคุณ

หนึ่งในค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์บ่อยที่สุดคือ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เพราะหากคุณใช้น้ำมันถึงระยะทางที่กำหนดคุณภาพจะเริ่มเสื่อม การหล่อลื่น หล่อเย็นภายในเครื่องแย่ลง เครื่องทำงานไม่ราบรื่น พังไวก่อนกำหนด เปลี่ยนหรือซ่อมก็ต้องกำเงินหมื่นไปอยู่ดี
คำถามมักเกิดขึ้นในช่วงที่ต้องเลือก "น้ำมันเครื่องรุ่นไหนดี" กึกก้องมาในหัวใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นกระปุกคาร์จึงนำความรู้เกี่ยวกับน้ำมันเครื่อง 3 เรื่องที่คุณต้องดู ใช้ประกอบการพิจารณามาบอกให้ทุกท่านได้ตัดสินใจง่ายขึ้น

1. น้ำมันเครื่อง มีทั้งหมด 3 ประเภท

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.
     
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.
     
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.
     
แน่นอนว่าเห็นจากระยะการใช้งานคงเลือกกันไม่ยาก แต่ของดีย่อมราคาแพงกว่า เพราะน้ำมันเครื่องแบบธรรมดาราคาประมาณหลักร้อย น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ก็อยู่หลักพัน ตามแต่สูตรและยี่ห้อ

2. ดูค่าของน้ำมันเครื่อง

จากรูปตัวอย่างจะเห็นค่า "SM 10W-30" ซึ่งขอจำแนกดังนี้
"SM" คือค่า API (American Petroleum Institute Standard) กำหนดโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับน้ำมันเครื่องแบบสากลทั่วโลก
มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย "S" เช่น API SM หรือ API SL ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะขึ้นต้นด้วย "C" เช่น API CJ-4 หรือ API CI-4 โดยเช็กรายละเอียดได้ที่ www.api.org (ยิ่งปีเก่าเท่าไรมาตรฐานก็ต่ำลง)

API SN มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน ให้มาตรฐานประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น ป้องกันเทอร์โบชาร์จเจอร์ เข้ากับระบบควบคุมการปล่อยไอเสีย และเครื่องยนต์ที่ทำเพื่อรองรับน้ำมัน E85 ประกาศใช้เดือนตุลาคม ในปี 2010
API SM ประกาศใช้เมื่อปี 2010
API SL ประกาศใช้เมื่อปี 2004
API SJ ประกาศใช้เมื่อปี 2001

CK-4 มาตรฐานคุณภาพระดับสูงสุดของน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล ประกาศใช้เมื่อปี 2017
CJ-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2010
CI-4 ประกาศใช้เมื่อปี 2002
CH-4 ประกาศใช้เมื่อปี 1998
"10W-30" คือค่ามาตรฐานจาก SAE (The Society of Automotive Engineer) ซึ่งเป็นสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยค่าชุดเลขตัวแรก "10W" ค่าการทนความเย็นของน้ำมันเครื่อง ดังนี้

W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ชุดเลขตัวที่สอง "30" บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยมีความหนืดน้อยตามลำดับ โดยความหนืดของน้ำมันมีผลต่อการหล่อลื่นและช่วยลดการสึกหรอได้มาก โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 20-40
ทริกที่หลายคนเลือกเปลี่ยนน้ำมันเครื่องคงเป็นเรื่องค่าความหนืด เพราะอุณภูมิอากาศในไทยต่อให้ใช้ 20W ก็ยังไม่น่ากังวล เครื่องยนต์ใหม่ก็มักไปเริ่มกันที่ "40" และปรับให้หนืดขึ้นเมื่ออายุเครื่องยนต์เพิ่ม เพื่อให้เครื่องฟิตขึ้น.. 

3. ดูน้ำมันเครื่องสูตรพิเศษ

น้ำมันเครื่องหลายชนิดในตอนนี้มีการบอกว่าเหมาะสมกับประเภทการใช้งาน ตัวอย่างเช่น

For NGV, LPG & Gasoline - สามารถใช้ได้ดีกว่าสำหรับรถที่ติดแก๊ส NGV และ LPG
Heavy Duty - ใช้ได้ดีสำหรับรถที่บรรทุกของหนัก
สรปุแล้วทั้ง 3 ข้อนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะชี้ไปว่าน้ำมันเครื่องแบบไหนเหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ เลือกใช้ได้แน่นอน ที่เหลือคงเป็นราคาจำหน่าย ยี่ห้อไหนก็ตามแต่ชอบกันเลยครับ 
ที่มา : https://car.kapook.com/view198481.html
เรียบเรียง : www.kcycar.com