วิธีดูแลรถง่ายๆ หลังขับรถลุยฝน

     รถยนต์ของคุณที่สุดจะรักและสุดจะห่วงต้องมีรอยคราบน้ำสกปรกที่ประเด็นมาจากล้อรถคันข้างหน้า หรือน้ำที่กระเด็นมาจากรถคันข้างๆ ที่เหยียบมิดมาแต่ไกล หรือจะเป็นคราบดินทรายที่กระเด็นมาเกาะรถของเราอีกล่ะ เห็นอย่างนี้แล้วคงจะเหนื่อยใจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานก็ยิ่งไม่ดีกับรถยนต์ของเรา แล้วจะมีวิธีอย่างไรล่ะ เพื่อไม่ให้รถยนต์ของเราไม่สกปรกและเลอะเทอะหลัง ขับรถลุยฝน
  1. อย่าใช้ผ้าเช็ดทันทีหลังจาก ขับรถลุยฝน มา
หลังจากที่ขับรถกลับบ้านแล้ว สิ่งที่เห็นนั่นก็คือ น้ำสกปรกที่มาเกาะตามเรืองร่างของรถเรานั่นเอง เห็นแล้วรู้สึกอยากจะนำผ้ามาถูๆ ทันที เพื่อให้รถของเราดูสะอาด ไม่มีรอยคราบของน้ำที่สกปรก แต่รู้หรือไม่ว่าการที่ล้างรถทันทีหลัง ขับรถลุยฝน มา ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดทันที เพราะเนื่องจากจะมีเศษฝุ่น เศษโคลน หรือเศษกรวดเล็กๆ ที่ติดมากับรถ ซึ่งเมื่อเราใช้ผ้าเช็ดรถโดยที่ไม่ได้ล้างรถด้วยน้ำสะอาดก่อน จะทำให้รถยนต์ของเราเป็นรอยได้นะ
  1. ล้างรถทันทีหลังหลังจาก ขับรถลุยฝน มา
เพื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำและเศษฝุ่นแห้งติดรถยนต์ของเรา ซึ่งทำให้สีรถยนต์ของเราเสื่อมสภาพได้ หลังจากที่ล้างรถเสร็จแล้วก็ควรเคลือบสีรถไปด้วยเลย หาก ขับรถลุยฝน ครั้งต่อไป น้ำจะได้ไม่เกาะตัวรถมาก แต่การล้างรถก็ไม่ควรล้างช่วงเย็น หรือช่วงค่ำ เพราะจะทำให้น้ำแห้งช้าและชิ้นส่วนของรถยนต์ก็จะขึ้นสนิมได้ ยกเว้นว่ามีเครื่องเป่าลมไล่น้ำ
  1. ตรวจสอบระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์
หลังจากที่ฝนตกเป็นระยะเวลานานๆ น้ำก็อาจะท่วมขังก็เป็นได้ ดังนั้น หลังจากที่ขับรถลุยน้ำท่วมมาแล้ว ควรที่จะตรวจสอบชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะตัวกรองอากาศ เพราะตัวกรองอากาศนั้นต้องกรอกอากาศและเศษต่างๆ ที่มาพร้อมกับน้ำฝน จึงทำให้มีอายุการใช้งานที่สั้นลง ดังนั้น ควรหมั่นตรวจสอบตัวกรองอากาศทันทีหลังจากที่ขับรถลุยน้ำท่วม ยังไม่หมดเพียงเท่านี้  ควรตรวจสอบน้ำมันเกียร์ และน้ำมันเครื่องด้วยว่ามีน้ำเข้าไปผสมหรือไม่ เพราะอาจเกิดการรั่วซึม และทำให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์ได้ ถ้าพบว่าเครื่องยนต์มีความผิดปกติควรนำรถเข้าไปตรวจสอบที่ศูนย์บริเวณใกล้บ้านคุณทันที
  1. ตรวจสอบการทำงานของไดสตาร์ท
ไดสตาร์ท หรือมอเตอร์สตาร์ท เป็นมอเตอร์ต้นกำลังเพื่อฉุดให้เครื่องยนต์ติดตอนเวลาที่สตาร์ทรถยนต์นั่นเอง วิธีการตรวจสอบง่ายๆ ว่าสตาร์ทมีปัญหาหรือไม่ เพียงแค่บิดกุญแจสตาร์ทรถ ถ้าไดสตาร์ททำงานช้าลง แสดงว่า หลังจากที่ ขับรถลุยฝน มา น้ำฝนนี่แหละอาจเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ไดสตาร์ทมีปัญหา ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็คือ ถอดไดสตาร์ทออกมาทำความสะอาดเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีการดูแลหลังจาก ขับรถลุยฝน อย่างง่าย ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ถ้าปัญหานั้นมีความซับซ้อนมากที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องถึงมือช่างกันแล้วล่ะ อย่าทำเองเพราะไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์อาจจะแย่กว่าเดิม
เรียบเรียง : kcycar.com
ข้อมูล : auto.mthai.com

www.facebook.com/kcycar


Hyundai H-1 และ Grand Starex Minorchange 2016

ราคาอย่างเป็นทางการ
H-1 (11 Seats+)
Touring  1,289,000 บาท
Elite  1,499,000 บาท
Deluxe  1,679,000 บาท
Grand Starex (7Seats+)
Premium  2,349,000 บาท
VIP  2,399,000 บาท
hyundai_price_banner
เครื่องยนต์ Engine
ดีเซล CRDi VGT รหัส D4CB ขนาด 2.5 ลิตร 2,497 ซีซี.
4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Commonrail Direct Injection
VG-Turbo with Intercooler กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก
91.0 x 96.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.4 : 1
กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อม Sequential Shift
ภาพรุ่น H-1 Touring
Key7_H1_Touring- CMYK_MainCoverLR H1_FLUSH_GLASS_2014_Small HyperFocal: 0 HyperFocal: 0

ภายนอก Exterior ( H-1 )
– กระจังหน้าใหม่เป็นแบบแนวตั้ง
– ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light) พร้อมสวิตซ์สำหรับปิด-เปิด
– ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว สี hyper silver
– กระจังหน้าแบบแนวนอน 2 ชั้น (รุ่น Touring)
– ไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่
ภายนอก Exterior ( Grand Starex )
– กระจังหน้าใหม่แบบโครเมียมแนวตั้ง
– ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Light) พร้อมสวิตซ์สำหรับปิด-เปิด
– ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 17 นิ้ว สี Hyper Silver
ภาพรุ่น H-1 Elite
HyperFocal: 0 Key3_H1_Elite- CMYKLR HyperFocal: 0 HyperFocal: 0 HyperFocal: 0

ภายในห้องโดยสาร Interior
– หน้าปัดเรืองแสงใหม่ พร้อมไฟส่องสว่างสีขาว
– หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ (trip computer) (รุ่น H-1 Elite, Deluxe และ Grand Starex)
– ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา (รุ่น H-1 Touring และ Elite)
– ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
– ระบบเครื่องเสียงพร้อมหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 8 นิ้ว
– ช่องเชื่อมต่อ USB / iPod
– ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
– รองรับการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wifi ได้ (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
– หน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขนาด 13.3 นิ้ว (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex Premium)
– ช่องเชื่อมต่อ HDMI
– พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control  (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
– ประตูเลื่อนแบบไฟฟ้า พร้อมสวิตซ์ควบคุมการเปิดปิดประตูบริเวณที่นั่งคนขับ
– รีโมทคอนโทรลสำหรับเปิด-ปิดประตูไฟฟ้า (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
– เบาะนั่งภายในห้องโดยสารด้านหลัง, พนักพิงศีรษะ และที่เท้าแขน ที่วางเท้า
– VIP Counter พร้อม Ambient Light สามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 สี (รุ่น Grand Starex VIP)
– USB Port สำหรับชาร์จไฟ (รุ่น Grand Starex VIP)
– ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้ภายในห้องโดยสาร (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
ภาพรุ่น H-1 Deluxe
Key6_H1_DX- CMYK_MainCoverLRKey1_H1_DX- CMYKLR
HyperFocal: 0 HyperFocal: 0 HyperFocal: 0 A800_9472 HyperFocal: 0

ระบบความปลอดภัย Safety
– ไฟส่องสว่างบริเวณใต้กระจกมองข้าง (รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex)
– Smart View Monitor กล้องมองรอบทิศทางขณะถอยจอด 360 องศา
(รุ่น H-1 Deluxe และ Grand Starex) โดยภาพจากกล้องทั้ง 4 ตัวที่ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า
ใต้กระจกมองข้างด้านซ้ายและด้านขวา และบริเวณป้ายทะเบียนด้านหลัง จะแสดงบนหน้าจอกลาง
– ระบบควบคุมการทรงตัว (ESP : Electronic Stability Control) (รุ่น Grand Starex)
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
ภาพรุ่น Grand Starex
HyperFocal: 0 HyperFocal: 0 HyperFocal: 0 A800_9461 HyperFocal: 0 HyperFocal: 0

สีตัวถังภายนอก มีให้เลือกด้วยกัน 5 สี
รุ่น H-1 Touring
– สีเงิน Hyper Metallic
รุ่น H-1 Elite / Deluxe
– สีเงิน Hyper Metallic
– สีดำ Timeless Black
– สีน้ำตาล Tan Brown
รุ่น Grand Starex Premium
– สีเงิน Hyper Metallic
– สีดำ Timeless Black
– สีขาว Arctic White
รุ่น Grand Starex VIP
– สีเงิน Hyper Metallic
– สีดำ Timeless Black
– สีขาว Arctic White
– สีน้ำตาล Sahara Bronze