ขับรถเที่ยวหน้าหนาวให้ปลอดภัยไร้กังวล


ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีฤดูหนาวแบบหฤโหดเหมือนกับทางฝั่งตะวันตกซึ่งต้องเตรียมพร้อมยางลุยหิมะกันยกใหญ่ แต่คนที่ชื่นชอบการขับรถเที่ยวดอยสูงก็ควรเตรียมความพร้อมทั้งคนและรถเช่นกัน
หลายจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคอีสานมักคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศที่ต้องการสัมผัสอากาศหนาวในช่วงปลายปี แน่นอนว่า อุบัติเหตุย่อมมีมากขึ้นตามจำนวนผู้คนที่ขับรถท่องเที่ยวมากกว่าช่วงเวลาปกติ เราจึงขอแนะนำเคล็ดลับการขับรถหน้าหนาวอย่างไรให้ปลอดภัยไร้กังวล

1. อุ่นเครื่องยนต์ให้นานขึ้น
เริ่มจากก่อนออกเดินทาง ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้นานกว่าเดิม อย่างน้อยสัก 1 นาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ได้ “วอร์มอัพ” น้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนต่างๆ มีความพร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของตัวรถ
2. ใช้ไฟตัดหมอก
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะได้ใช้ไฟตัดหมอกให้เป็นประโยชน์ เมื่อต้องขับขี่ผ่านเส้นทางเทือกเขาสูงหรือกระทั่งถนนทางราบในหลายจังหวัดของภาคเหนือและอีสานในช่วงสิ้นปีมักจะมีหมอกควันในช่วงเช้าหรือเย็น (บางครั้งตลอดทั้งวัน) ดังนั้น ควรเปิดไฟตัดหมอกเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยทั้งแก่ผู้ขับขี่เอง และเพื่อนร่วมท้องถนนที่จะเห็นคุณได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ควรเปิดระบบไล่ฝ้าเป็นระยะเพื่อเพิ่มการมองเห็น

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Drive-Safely-in-Fog.jpg
3. หลีกเลี่ยงการจอดไหล่ทาง
ถ้าไม่มีความจำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ไม่ควรจอดรถบริเวณไหล่ทางเนื่องจากทัศนวิสัยที่เลวร้ายทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนได้ง่าย ควรมองหาที่จอดพักรถ ปั๊มน้ำมันหรือจุดชมวิวที่ลึกเข้าไปข้างทาง
4. ขับช้ากว่าปกติ
การขับรถท่ามกลางหมอกควันไม่ต่างจากการขับรถท่ามกลางฝนตกหนัก ควรลดความเร็วลงกว่าปกติเพื่อป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุ เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นถนนหนทางได้ชัดเจนนัก ความเร็วที่ช้าลงจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการตัดสินใจได้มากขึ้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะบนถนนต่างจังหวัดที่มักมีรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานของชาวบ้าน รวมถึงสิงสาราสัตว์จากป่าข้างทาง
5. ปิดแอร์ รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่น
การขับรถขึ้นหรือลงดอยช่วยเปิดโอกาส (ที่ไม่บ่อยครั้งนัก) ให้เราสามารถปิดแอร์และเปิดกระจกเพื่อสัมผัสอากาศเย็นอันบริสุทธิ์ที่พัดผ่านได้ การปิดแอร์ขณะขับรถขึ้นลงดอยสูงยังช่วยประหยัดน้ำมันและถนอมการทำงานของเครื่องยนต์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

เรียบเรียง www.kcycar.com

หม้อน้ำเติมอะไรดีที่สุด “น้ำเปล่า” หรือ “Coolant”


หลายคนอาจสงสัยว่าหม้อน้ำรถยนต์ควรเติมอะไร ? โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับกับรถคันแรก ที่คนข้างบ้านอาจจะบอกว่าเติมน้ำเปล่าก็พอแล้ว หรือช่างผู้เชี่ยวแนะนำให้เติมน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) ดีกว่า เราจะมาไขข้อสงสัย ว่าเติมแบบไหนมีข้อดียังไง และมีข้อเสียอะไรบ้างติดตามกันได้เลยครับ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า “หม้อน้ำ” คือส่วนสำคัญของระบบหล่อเย็นรถยนต์ โดยทำงานร่วมกับปั๊มน้ำ วาล์วน้ำ และพัดลม ซึ่งระบบระบายความร้อนทั้งหมดจะทำงานตั้งแต่เครื่องเริ่มสตาร์ตทันที ในระบบการระบายความร้อนจะมีการใช้น้ำแบบหมุนเวียน ซึ่งน้ำทั้งหมดจะไหลผ่านตามท่อต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
ถ้าเติมน้ำเปล่าไปจะเป็นอย่างไร?
การเติมน้ำเปล่านั้น ช่วงแรก ๆ ที่เติมมาใหม่จะยังไม่มีผลกระทบอะไรมาก แต่ในระยะยาวจะเริ่มออกอาการตามเวลาอย่างตระกรันในหม้อน้ำ หากละเลยไปจะมีการสะสมเรื่อย ๆ จนทำให้หม้อน้ำอุดตัน ยิ่งอะไหล่บางส่วนในเครื่องยนต์ของรถรุ่นใหม่ถูกผลิตด้วยอะลูมิเนียม อาจทำให้เป็นสนิมง่าย เกิดผุกร่อนจนกลายเป็นรอยรั่ว และยังทิ้งเศษตะกอนแดงเอาไว้อีกด้วย
ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ดีกว่าแก้ กับอีกตัวเลือกที่ปกป้องได้มากกว่าอย่าง น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) เพราะมีส่วนผสมของสาร Ethylene Glycol ช่วยชะลอการเดือดได้ดีกว่า ด้วยคุณสมบัติที่มีจุดเดือดสูงกว่าน้ำเกือบ 2 เท่า ทำให้ช่วงอุณหภูมิกว้าง นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันการเกิดสนิมสาเหตุของการผุกร่อน, ช่วยหล่อลื่นปั๊มน้ำให้ทำงานได้ดี, ด้วยสีผสมสารเรืองแสงของน้ำยาหล่อเย็น ช่วยเรื่องการสังเกต ทำให้เห็นรอยรั่วตามอะไหล่ รวมถึงที่พื้นถนนได้ชัดเจนกว่า ในกรณีเกิดปัญหาหกรั่วไหล และที่มองข้ามไปไม่ได้ คือต้องเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงกับน้ำยาหล่อเย็นที่เราแนะนำอย่าง Super Coolant Organic Technology สามารถใช้ได้ทั้งรถเก๋ง, รถปิกอัพ, รถบรรทุก แม้กระทั่งเรือหางยาวก็ใช้ได้เหมือนกัน ช่วยดูแลระบบหล่อเย็นได้อย่างยาวนานถึง 2 ปี หรือ 200,000 กม.
เรียบเรียง www.kcycar.com
ข้อมูล http://www.valvoline.co.th/information/tips/201912.php

ไม่มีใบขับขี่ ประกันรถยนต์จะจ่ายหรือไม่ ?



ไม่มีใบขับขี่ เกิดอุบัติเหตุ จะชดเชยคู่กรณีหรือไม่ ?

ถ้าคุณเป็นคนขับโดยที่ไม่มีใบขับขี่ หากเกิดเหตุอุบัติเหตุและมีคู่กรณี ในเรื่องความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอกนี้ บริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยให้ทั้งตัวร่างกายบุคคลและทรัพย์สินเต็มจำนวน และไม่สามารถเรียกเงินจากผู้เอาประกันได้ แต่ความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกนั้นก็มีข้อยกเว้นอยู่ ดังต่อไปนี้
  1. ไม่คุ้มครองทรัพย์สินของคุณ หรือครอบครัวของคุณหากเกิดอุบัติเหตุเหตุขึ้น เช่น คุณขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนประตูบ้านของคุณแม่คุณ แบบนี้บริษัทประกันภัยจะไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินภายนอก ซึ่งในกรณีนี้ก็คือประตูบ้านของคุณแม่ของคุณ เป็นต้น
  2. ไม่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินหรือสัมภาระที่อยู่ในรถยนต์ ทั้งในรถยนต์ของคุณและคู่กรณี
  3. ไม่คุ้มครอง เครื่องชั่ง สะพานรถ สะพานรถไฟ ถนน ทางวิ่ง สนาม หรือสิ่งที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือน หรือจากน้ำหนักรถยนต์ หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำถนนเสียหาย กรณีนี้ประกันไม่รับผิดชอบความเสียหายต่อถนน เป็นต้น

แล้วรถยนต์ของคุณล่ะ จะคุ้มครองไหม ?

คำถามข้อนี้ ต้องแบ่งออกเป็นสองกรณีก็คือ ถ้าคุณขับรถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ หากว่าคุณเป็น “ฝ่ายถูก” ประกันรถยนต์จะคุ้มครองรถยนต์ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็น “ฝ่ายผิด” บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครอง

แต่ถ้าเป็นกรมธรรม์ที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ล่ะ ?

ต่อจากกรณีที่แล้วถ้าหากคุณเป็น “ฝ่ายผิด” แต่ในกรมธรรม์ประกันรถยนต์นั้น ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นชื่อคุณ บริษัทประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของคุณ เนื่องจากกรมธรรม์แบบระบุผู้ขับขี่นั้น จะถือว่าบริษัทประกันพิจารณาความสามารถ และทักษะในการขับขี่ของผู้ขับขี่ ที่ระบุชื่อเอาไว้ดีแล้วในขณะที่รับทำประกัน แต่โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะขอเอกสารใบขับขี่ เพื่อประกอบในการออกกรมธรรม์อยู่แล้ว

แล้วถ้าเหตุที่เกิดคือรถยนต์สูญหายหรือน้ำท่วมล่ะ ?

ในกรณีนี้บริษัทประกันรถยนต์ จะต้องให้ความคุ้มครองแน่นอน ไม่ว่าผู้ขับขี่จะมีใบขับขี่หรือไม่? เพราะการที่รถยนต์สูญหายหรือเกิดน้ำท่วมนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทักษะความสามารถในการขับขี่ของผู้ขับขี่ เพราะการขับขี่ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงภัยกับกรณีเหล่านี้

กรณีอื่น ๆ ที่ประกันภัยรถยนต์ไม่คุ้มครอง

นอกจากการขับขี่รถยนต์โดยที่ไม่มีใบขับขี่ อาจจะเป็นสาเหตุที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่บริษัทประกันภัยจะไม่คุ้มครองอีก แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 จะได้ชื่อว่าเป็นประกันที่เคลมได้ทุกอย่าง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดแบบกว้าง ๆ เท่านั้น ตามความเป็นจริงไม่สามารถที่จะเคลมได้ทุกกรณี ซึ่งข้อยกเว้นมีดังนี้
  1. ใช้ใบขับขี่ผิดประเภท เช่น มีใบขับขี่ของรถจกรยานยนต์ แต่มาใช้ในการขับรถยนต์ ถ้าหากว่าเกิดเหตุอาจจะไม่ได้รับการคุ้มครอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อาจจะเข้าข่ายผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ดังข้อมูลข้างต้น
  2. เมาแล้วขับ โดยที่ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่เลือดตั้งแต่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ขึ้นไป ในขณะที่ขับขี่
  3. นำรถยนต์ไปใช้นอกเขตความคุ้มครอง ซึ่งหมายถึงนอกประเทศไทยนั่นเอง
  4. นำรถยนต์คันเอาประกัน ไปใช้ในการลากจูงหรือผลักดัน ซึ่งหากเกิดเหตุเสียหายกับรถยนต์ จะถือว่าเป็นความประมาทของเจ้าของรถยนต์เอง
  5. ใช้รถยนต์ในการไปแข่งขันความเร็ว
  6. ใช้รถยนต์ในทางผิดกฎหมาย เช่น นำรถยนต์ไปใช้ปล้น หรือขนยาเสพติด เป็นต้น
โดยตัวอย่างข้างต้นนั่น เป็นเพียงบางส่วนของข้อยกเว้นในการรับประกันรถยนต์ โดยบางกรณีบริษัทประกันภัยอาจจะรับผิดชอบบางส่วน บางกรณีอาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด ฉะนั้น ก่อนที่คุณจะทำประกันรถยนต์ ควรที่จะศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์ให้ละเอียดถี่ถ้วน เผื่อในกรณีที่เกิดเหตุขึ้นแล้วบริษัทประกันภัยไม่คุ้มครอง

5 สัญญาณบอกเหตุ แบตเตอรี่ ใกล้หมดสภาพ



เชื่อเลยว่าหนึ่งในปัญหากวนใจที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับรถมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือปัญหา แบตเตอรี่รถยนต์ ไฟหมด หรือเสื่อมสภาพจนทำให้คุณต้องปวดหัวได้แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นแน่ถ้าหากเราคอยใส่ใจดูแลรักษาและหมั่นสังเกตุอาการรถคุณอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันนี้เรามี 5 สัญญาณบอกเหตุ ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้เสื่อมสภาพนั้นเป็นอย่างไร
แบตเตอรี่รถยนต์มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่างด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น
แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพนั้นคือ
1. เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน
2. ไดชาร์จทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยกว่าปกติ และไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้เลย
วิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
1. เริ่มมีอาการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก
โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นานหลายวัน เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์สตาร์ทจะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือรุนแรงถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด นั่นแสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งในกรณีนี้อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นที่แบตเตอรี่นะครับ ให้ลองพ่วงชาร์จเพื่อทำการสตาร์ทดูก่อน ถ้าเครื่องติดแล้วลองขับใช้งานปกติ เมื่อดับเครื่องยนต์ไม่นานนักแล้วกลับมาสตาร์ทติด แสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา แต่ถ้ายิ่งจอดนานหรือจอดข้ามคืนแล้วสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดคราวนี้แน่นอนว่าแบตเตอรี่รถคุณเริ่มเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟไว้ได้
2. ไฟหน้ารถเริ่มสว่างน้อยลง
เนื่องจากประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ตรงนี้สำหรับคนที่ขับรถกลางคืนบ่อยๆ อาจจะสังเกตุได้ง่ายกว่า สำหรับใครที่ไม่ชอบออกจากบ้านค่ำๆ มืดๆ เวลาขับเข้าลานจอดให้ลองเปิดไฟหน้ารถดูน่าจะพอให้สังเกตได้
3. กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง
เป็นอีกหนึ่งอาการที่มักเกิดขึ้นจากกำลังไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ จากปกติที่เคยกดทีเดียวขึ้น/ลงสุดอย่างรวดเร็วกลับค่อยๆ ขึ้น/ลงช้าๆ พร้อมเสียงมอเตอร์กระจกไฟฟ้าที่หมุนแบบหนืดๆ เหมือนไม่มีกำลัง
4. ระบบไฟในรถเริ่มทำงานผิดปกติ
ตรงนี้ให้สังเกตุจากไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ไฟหน้าจอเครื่องเสียงและไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ซึ่งเริ่มสว่างน้อยลง บางทีก็อาจติดๆ ดับๆ รวมถึงให้ลองบีบแตรดูถ้าเสียงเบาผิดปกติ นั่นแสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ของคุณไม่เพียงพอเช่นกัน
5. อายุการใช้งานของแบตเตอรี่
ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1.5 – 2 ปี (สำหรับรถที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม) เราสามารถดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ทางร้านแบตเตอรี่จะทำการระบุวันที่เราเริ่มใช้งานแบตเตอรี่ครั้งแรก ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย รถที่จอดทิ้งไว้ทีละหลายๆ วันแบตเตอรี่ยิ่งอายุสั้นกว่ารถที่ใช้งานปกติ
ดังนั้นถ้าคุณพบว่ารถคุณเริ่มมีอาการต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงอายุอานามของแบตเตอรี่ก็ใกล้ครบวาระแล้ว รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ก่อนที่มันจะสร้างความลำบากให้กับคุณได้แบบไม่มีการบอกล่วงหน้า
ที่มา : https://www.roojai.com/article/your-car/expired-battery/
เรียบเรียง : www.kcycar.com

เจาะสเปค Mazda 2 MY2018 ปรับเพิ่ม Option


Mazda 2 MY2018 (รุ่นปรับอุปกรณ์)

ราคาอย่างเป็นทางการ (ตัวถัง Sedan / Hatchback ราคาเท่ากัน)
เบนซิน



1.3 Skyactiv-G Standard  530,000 บาท
1.3 Skyactiv-G High  590,000 บาท

1.3 Skyactiv-G High Connect  620,000 บาท

1.3 Skyactiv-G High Plus  670,000 บาท
1.5 Skyactiv-D Standard  680,000 บาท
1.5 Skyactiv-D High Connect  750,000 บาท
1.5 Skyactiv-D High Plus L  789,000 บาท

* ราคาเท่าเดิม ทุกรุ่นย่อย
ดีเซล
* ราคาเท่าเดิม ทุกรุ่นย่อย


Engine เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 Skyactiv-Gเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ขนาด 1.3 ลิตร 1,299 ซีซี. 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว 
กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 71.0 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 93 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที 
แรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ รองรับน้ำมันสูงสุด E20




Mazda 2 รุ่นปรับอุปกรณ์ MY2018 เทียบกับ MY2017 เพิ่มรายละเอียด Option ดังนี้ 
(ทั้งตัวถัง Sedan / Hatchback)

1.3 Standard

ไม่มีการเปลี่ยนแปลง



1.3 High

เพิ่ม ไฟอ่านแผนที่ตอนหน้า แบบแยกซ้าย – ขวา

เพิ่ม ไฟส่องสว่างตรงกลางภายในห้องโดยสาร
เพิ่ม หน้าจอกลาง แบบสี Center Display Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว
เพิ่ม ระบบ MZD Connect พร้อมปุ่ม Center Command
เพิ่ม ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
เพิ่ม สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
เพิ่ม ช่องเชื่อมต่อ USB 1 ช่อง / ช่องใส่ SD Card
เพิ่ม ระบบจดจำเสียง Voice Recognition
เพิ่ม ลำโพงจาก 4 ตำแหน่ง เป็น 6 ตำแหน่ง
เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor










1.3 High Connect

เพิ่ม ไฟหน้า LED Projector Lens พร้อมไฟ Daytime Running Light
เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor

เพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control


1.3 High Plus

เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp

เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
เพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
เพิ่ม ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM
เพิ่ม ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA






ดีเซล 1.5 Skyactiv-Dเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ขนาด 1.5 ลิตร 1,499 ซีซี. 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว 
กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 76.0 x 82.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.8 : 1 กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที 
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ






Mazda 2 รุ่นปรับอุปกรณ์ MY2018 เทียบกับ MY2017 เพิ่มรายละเอียด Option ดังนี้ 
(ทั้งตัวถัง Sedan / Hatchback)

1.5 Standard

เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor

เพิ่ม ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ


1.5 High Connect

เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp

เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
เพิ่ม หน้าจอ Active Driving Display แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี
เพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

1.5 High Plus L

เพิ่ม ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp

เพิ่ม ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor












นอกจากนี้มีการเปลี่ยนรหัสสีใหม่ จากเดิม Soul Red Metallic จะกลายเป็น Soul Red Crystal ทั้งหมด

แดง Soul Red Crystal (ใหม่)
สีน้ำเงิน Eternal Blue

สีเทา Meteor Gray
สีดำ Jet Black
สีขาว Snow Flake White Pearl
สีน้ำตาล Titanium Flash
สีเงิน Aluminum Metallic

* สีแดง Soul Red Crystal เพิ่มเงิน 12,000 บาท / สีขาว Snow Flake White Pearl เพิ่มเงิน 7,000 บาท






เรียบเรียง www.kcycar.com












ประวัติวันเข้าพรรษา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

วันเข้าพรรษา 2562
Buddhist Lent Day 
วันเข้าพรรษาปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2562
ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
 
วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา

ประวัติวันเข้าพรรษา

     ในเรื่องความเป็นมาของวันเข้าพรรษา ถ้าว่ากันตามประวัติย่อๆ คือ ในยุคต้นพุทธกาล ก็ยังไม่มีการเข้าพรรษา เพราะฉะนั้นตลอดทั้งปี เมื่อพระภิกษุมีความเห็นว่าท่านควรจะไปเทศน์ ไปสอนญาติโยมที่ไหนได้ ท่านพอมีเวลา ท่านก็จะไป หรือไม่ได้ไปเทศน์ไปสอนใคร ถ้าเห็นว่าที่ไหนมันเงียบ มันสงัดดี เหมาะในการที่จะไปบำเพ็ญภาวนา ทำสมาธิ(Meditation)ของท่าน ท่านก็จะไป ซึ่งแน่นอน ส่วนมากก็จะอยู่ในเขตที่เป็นป่าเป็นเขา ไกลๆออกไปจากตัวเมือง หรือว่าต้องผ่านไปในชนบทนั่นเอง
 
     จากการที่ท่านต้องไปอย่างนี้ เนื่องจากในฤดูฝนที่เขาทำไร่ทำนากันอยู่นั้น บางครั้ง ข้าวกล้าของเขาก็เพิ่งหว่านลงไปในนา มันเพิ่งงอกออกมาใหม่ๆ บางทีก็ดูเหมือนหญ้า พระภิกษุก็เดินผ่านไป นึกว่ามันเป็นดงหญ้า ก็เลยย่ำข้าวกล้าของเขาไป ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาก็มาฟ้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระไปย่ำข้าวของเขาที่ปลูกเอาไว้ หว่านเอาไว้ นกกาฤดูฝนมันยังอยู่กับรังของมัน พระทำไมไม่รู้จักพักบ้าง 
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุมีการเข้าพรรษาเมื่อเข้าฤดูฝน
 
วันเข้าพรรษาคือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 11
 
     เพื่อตัดปัญหานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงกำหนดให้พระภิกษุ เมื่อเข้าพรรษา หรือเมื่อเข้าฤดูฝน ให้พระอยู่กับที่ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนกระทั่งขึ้น 15 ค่ำเดือน11 ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ไปทำภาวนาที่ไหน ไม่ไปเทศน์โปรดใคร ถ้าใครต้องการให้โปรด ก็มาที่วัดก็แล้วกัน มาหาท่าน ไม่ใช่ท่านไปหาเขา กำหนดเป็นอย่างนี้ไป เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ใครมาบ่นลูกของพระองค์ได้
 
     แต่อีกมุมมองหนึ่ง พระองค์ทรงถือโอกาสที่เกิดเป็นปัญหานี้ ได้ทรงเปลี่ยนคำครหาให้กลายเป็นโอกาสดีของพระภิกษุว่า ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุอยู่เป็นที่ในวัดวาอาราม เพื่อที่จะให้พระใหม่ได้รับการอบรมจากพระเก่าได้เต็มที่ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ในการอบรมถ่ายทอดศีลธรรม ถ่ายทอดธรรมวินัยให้แก่กันและกันนั้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ทำเป็นที่เป็นทางต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน อย่างนี้จะเป็นการดี การศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่องมีผลดี
 
 
ลูกผู้ชายบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา
 
พระภิกษุต้องอยู่วัดช่วงเข้าพรรษา
 
     เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยทรงกำหนดขึ้นมาว่า ให้พระภิกษุอยู่กับที่ในช่วงเข้าพรรษาอยู่ในวัด แล้วพระใหม่ก็ศึกษาหรือรับการถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า ส่วนพระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย คือ สอนพระใหม่
 
    เท่านั้นยังไม่พอ พระเก่าก็วางแผน กำหนดแผนการเลยว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ควรจะเดินทางไปโปรดที่ไหน นั่นก็อย่างหนึ่ง อีกทั้งปรับปรุงหลักสูตรวิธีการเทศน์การสอน การอบรมให้เหมาะกับท้องถิ่น ให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น /ประวัติวันเข้าพรรษา
 
ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็จะได้รับการถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า
 
ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็ศึกษาธรรมะจากพระเก่า
พระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์สอนพระใหม่
 
ดังนี้ การเข้าพรรษาจึงเป็นการดีทั้งประชาชน ดีทั้งพระเก่า พระใหม่ ไปในตัวเสร็จ 
 

กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา  

     ทีนี้กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา ว่าที่จริงก็ทำนองเดียวกันกับออกพรรษา เพียงแต่ว่าเมื่อไม่ได้ออกไปนอกพื้นที่ พระภิกษุจึงมีโอกาสดังต่อไปนี้
 
     ตัวท่านเองนั้น ก็มีโอกาสที่จะทำภาวนาของท่าน มีโอกาสที่จะปรับปรุงหลักสูตรของท่าน มีโอกาสที่จะค้นคว้าพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อันนี้ก็เป็นเรื่องราวในปัจจุบันนี้ กิจวัตรในปัจจุบันของพระ เราก็ทำอย่างนี้
 
เจริญภาวนาในช่วงเข้าพรรษา
 
ในช่วงเข้าพรรษานี้พระภิกษุสงฆ์จะได้มีโอกาส
หาความรู้จากพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
 
     ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราไปตามวัดต่างๆ ในขณะนี้ ในฤดูเข้าพรรษานี้ เนื่องจากเราก็นิยมบวชกัน จะบวชชั่วคราวแค่พรรษาก็ตาม หรือจะบวชระยะยาวก็ตาม ในเมื่อพอเข้าพรรษาแล้ว พระเก่าพระใหม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน พระเก่าทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ใครถนัดวิชาไหนก็มาสอนวิชานั้นให้แก่พระภิกษุใหม่ ใครถนัดพระวินัยก็สอนพระวินัย ใครถนัดสอนนักธรรมหรือธรรมะก็สอนธรรมะ ใครถนัดสอนพุทธประวัติก็สอนพุทธประวัติ เป็นต้น
     พูดง่ายๆ ฤดูเข้าพรรษาจึงกลายเป็นฤดูติวเข้ม หรือถ้าจะพูดกันอย่างในปัจจุบันก็บอกว่า ฤดูเข้าพรรษานี่แท้จริงก็เป็น Moral Camping ของพระภิกษุนั่นเอง กิจวัตรอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกไปโปรดญาติโยมก็พักเอาไว้ก่อน จึงเหลือแต่เรื่องของการศึกษาเป็นหลัก ค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นหลัก เนื่องจากมีเวลาที่จะค้นคว้า
 
ช่วงเข้าพรรษาพระภิกษุจะได้มีเวลาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก
 
ฤดูกาลเข้าพรรษาเป็นฤดูกาลติวเข้มของพระภิกษุ
 
     เมื่อหมดจากเวลาการค้นคว้า ก็มานั่งสมาธิกันไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของการค้นคว้าภายใน พระไตรปิฎกในตัว พระไตรปิฎกนอกตัวก็มีอยู่เป็นเล่มๆ ค้นคว้าพระไตรปิฎกในตัวก็คือการทำภาวนานั่นเอง
 
     ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระใหม่มาอยู่ในวัดกันพร้อมหน้าพร้อมตา โยมพ่อโยมแม่ ญาติพี่น้อง พรรคพวกเพื่อนฝูงของพระใหม่ ได้มาร่วมทำบุญที่วัด ได้มาพบพระเพื่อน พบพระลูก พบพระหลาน ถึงแม้พระลูกพระหลานเหล่านี้ยังเทศน์ไม่เป็น เพราะบวชใหม่ แต่ว่าเมื่อมาแล้วก็จะได้พบพระครูบาอาจารย์ พระผู้ใหญ่ ท่านที่มาร่วมทำบุญเหล่านี้จึงมีโอกาสฟังเทศน์จากพระผู้ใหญ่ จึงกลายเป็นฤดูแห่งการศึกษาธรรมะไปด้วยในตัวเสร็จ ทั้งของพระ ทั้งของญาติโยม อันนี้ก็เป็นเรื่องราวของการเข้าพรรษาในยุคปัจจุบันนี้
 

การปฏิบัติตัวของชาวพุทธในช่วงเข้าพรรษา 

 
    ในช่วงเข้าพรรษา พระเก่าพระใหม่ ท่านอยู่กันพร้อมหน้า เมื่ออยู่พร้อมหน้ากันอย่างนี้ ก็เป็นโชคดีของญาติโยม โชคดีอย่างไร โชคดีที่เนื้อนาบุญอยู่กันพร้อมหน้า ญาติโยมตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด ท่านไม่ปล่อยให้พระเข้าพรรษาเพียงลำพัง ญาติโยมก็พลอยเข้าพรรษาไปด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเข้าพรรษาของญาติโยมนั้น เข้าพรรษาด้วยการอธิษฐานจิต
 

หลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีแม่บทไว้ชัดอยู่ 3 ข้อ คือ

1.ละ ชั่ว
2.ทำดี
3.กลั่นใจให้ใส
 
วันเข้าพรรษา

      เมื่อพระอยู่จำพรรษา ท่านก็มีหน้าที่ของท่านว่า ละชั่ว คำ ว่า ละชั่วของพระนั้น ไม่ใช่ ชั่ว หยาบๆอย่าง ที่มนุษย์เป็นกัน แต่ว่าละชั่วของท่านในที่นี้หมายถึงละกิเลส ซึ่งแม้ในเรื่องนั้นโดยทางโลกแล้ว มองไม่ออกหรอกว่ามันเป็นความชั่ว ความไม่ดี เช่น มีจิตใจฟุ้งซ่าน ความจริงก็อยู่ในใจของท่าน คนอื่นมองไม่เห็น ถึงขนาดนั้น ท่านก็พยายามจะละความฟุ้งซ่านของท่านให้ได้ ด้วยการเจริญภาวนา หรือทำสมาธิให้ยิ่งๆขึ้นไป เป็นต้น ท่านก็ละกิเลสหรือละชั่วที่ละเอียดๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้สมกับภูมิแห่งความเป็นพระของท่าน
 
กิจกรรมในช่วงเข้าพรรษาของพระสงฆ์
ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็ตั้งใจศึกษาหาความรู้ให้เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป
 
ความสำคัญของวันเข้าพรรษา
 
 
     ความดีท่านก็ทำให้ยิ่งๆ ขึ้น ตัวอย่างเช่น อยู่ที่วัดพระเก่าก็เทศน์อบรมให้พระใหม่ พระใหม่ก็ตั้งใจศึกษาให้เป็นความรู้ความดี เพิ่มพูนความดีให้กับตัวของท่านไป แล้วก็ทำใจให้ใส พร้อมๆ กัน ด้วยการสวดมนต์ภาวนา แต่เช้ามืด ท่านตื่นกันขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ ตื่นขึ้นมาสวดมนต์กันแต่เช้า เป็นต้น
 
     สำหรับญาติโยมทั้งหลาย แต่โบราณ พอวันเข้าพรรษาก็อธิษฐานพรรษากันเหมือนกัน อธิษฐานอย่างไร อธิษฐานอย่างนี้ พรรษานี้ สามเดือนนี้ ที่รู้ว่าอะไรเป็นนิสัยที่ไม่ดีในตัวเองที่มีอยู่ ก็อธิษฐานเลย พรรษนี้ (เลือกมาอย่างน้อยหนึ่งข้อ) เราจะแก้ไขตัวเองให้ได้ เช่น บางคนเคยกินเหล้า เข้าพรรษาแล้วก็อธิษฐานว่า พรรษนี้เลิกเหล้า เลิกเหล้าให้เด็ดขาด บางคนเคยสูบบุหรี่ ก็อธิษฐานว่า อย่างน้อยพรรษานี้จะเลิกบุหรี่ให้เด็ดขาด เป็นต้น เขาก็มีการอธิษฐานกันในวันเข้าพรรษา พรรษานี้จะละความไม่ดีอะไรบ้าง ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ให้พยายามละกัน คือ ทำตามพระให้เต็มที่นั่นเองในระดับของประชาชน
 
    สิ่งใดที่เป็นความดี ก็พยายามที่จะทำให้ยิ่งๆขึ้นไป เช่น เมื่อก่อนนี้ ก่อนจะเข้าพรรษา ตักบาตรบ้าง ไม่ตักบาตรบ้าง วันไหนมีโอกาสก็ทำ วันไหนชักจะขี้เกียจก็ไม่ทำ เมื่อพรรษานี้ พระอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาดีแล้ว ตั้งใจเลยที่จะตักบาตรให้ได้ทุกเช้า เมื่อก่อนไม่ทุกเช้า แค่วันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันโกนวันพระ พรรษานี้พระอยู่พร้อมหน้า อธิษฐานเลย จะตักบาตรทุกเช้าตลอดสามเดือนนี้ที่เข้าพรรษา นี่ก็เป็นธรรมเนียมที่ปู่ย่าตาทวดทำกัน
 
อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน รักษาศีล 8 ในช่วงเข้าพรษา
รักษาศีลในช่วงเข้าพรรษาจากศีลห้าก็ยกขึ้นไปเป็นศีลแปด
 
ความสำคัญของวันเข้าพรรษา

    บางท่านยิ่งกว่านั้น ธรรมดาเคยถือศีลห้าเป็นปกติอยู่แล้ว พรรษานี้เลยถือศีลแปดทุกวันพระไปเลย แถมจากศีลห้ายกขึ้นไปเป็นศีลแปด จากวันเข้าพรรษาบางท่านเคยถือศีลแปดทุกวันพระ ถืออุโบสถศีลมาทุกวันพระแล้ว เมื่อพรรษาที่แล้ว พรรษานี้ถือศีลแปด ถืออุโบสถศีล ทั้งวันโกนวันพระ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละสองวัน บางท่านเก่งกว่านั้นขึ้นไปอีก พรรษานี้จะรักษาศีลแปด รักษาอุโบสถศีล กันตลอดสามเดือนเลย
 
      ใครมีกุศลจิตศรัทธามากเพียงไหน ก็ทำให้ยิ่งๆขึ้นไปตามนั้น บางท่านยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก ถึงกับอธิษฐานว่า พรรษานี้นอกจากถือศีลกันตลอด ถือศีลแปดกันตลอดพรรษาแล้วยังไม่พอ อธิษฐานที่จะทำสมาธิทุกวัน วันเข้าพรรษาทุกคืนก่อนนอนวันละหนึ่งชั่วโมง ใครที่ไม่เคยทำก็อธิษฐานจะทำสมาธิวันละหนึ่งชั่วโมง คืนละหนึ่งชั่วโมง บางท่านเพิ่มเป็นคืนละสองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ว่ากันไปตามกุศลศรัทธาอย่างนี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดของเราทำกันมา
 
วันเข้าพรรษา

     อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากเกี่ยวกับวันเข้าพรรษาก็คือ เนื่องจากปัจจุบันนี้สังคมเปลี่ยนไป ญาติโยมประชาชนส่วนมากหยุดงานกันวันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่พระนั้น แต่เดิมก็เทศน์กันวันโกนวันพระเป็นหลัก เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงเหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น ที่ไปฟังเทศน์ในวันโกนวันพระ  
 
     แต่เข้าพรรษานี้ ขอฝากหลวงพ่อ หลวงพี่ ด้วยก็แล้วกัน ถ้าจะเพิ่มวันเทศน์วันสอนธรรมะให้กับประชาชนในวันเสาร์-วันอาทิตย์ ซึ่งญาติโยมเขาหยุดงานกันอีกสักวันสองวันก็จะเป็นการดี แล้วก็ญาติโยมด้วยนะ รู้ว่าพระเทศน์วันโกนวันพระ แล้วครั้งนี้เข้าพรรษา ท่านแถมวันเสาร์-วันอาทิตย์ให้ด้วย อย่าลืมไปฟังท่านเทศน์ด้วยนะ ถ้าขยันกันอย่างนี้ มีแต่บุญกุศลกันตลอดทั้งพรรษาเลย แล้วความเจริญรุ่งเรืองทั้งตัวเอง ทั้งพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ก็จะบังเกิดขึ้นตลอดปี ตลอดไป
 
ประเพณีการบวชช่วงเข้าพรรษา
บวชเข้าพรรษาหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของลูกผู้ชาย
 
 
ประเพณีการบวชช่วงเข้าพรรษา 
 
     ความจริงแล้ว พระในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะบวชในฤดูกาลไหน หรือจะบวชช่วงสั้น ช่วงยาวแค่ไหนก็ตาม มีวัตถุประสงค์ในการบวชเหมือนกัน คือ มุ่งที่จะกำจัดทุกข์ให้หมดไป แล้วก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือ พูดกันภาษาชาวบ้านว่า มุ่งกำจัดกิเลสเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน จะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก
 
     ทีนี้อย่างไรก็ตาม เมื่อบวชแล้ว ไม่ว่าบวชช่วงสั้นช่วงยาว ตั้งใจอย่างนี้ ทำตามวัตถุประสงค์ของการบวชอย่างนี้เต็มที่ ไม่ว่าบวชช่วงไหนก็ได้บุญเท่าๆ กันทั้งนั้น อันนี้โดยหลักการ
 
     แต่ว่าเอาจริงๆ เข้าแล้ว เนื่องจากเรานั้น ยังเป็นคนที่เข้ามาสู่ศาสนากันใหม่ๆ แล้วก็ยังต้องการสภาพที่เหมาะสมพิเศษๆ ในการที่จะศึกษาธรรมะ ในการที่จะขัดเกลาตัวเอง ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าได้บรรยากาศพิเศษๆขึ้นมา ก็จะช่วยให้การบรรลุวัตถุประสงค์ของการบวชนั้นง่ายขึ้นและดีขึ้น ปู่ย่าตาทวดของเราจึงได้เลือกแล้วว่า ฤดูเข้าพรรษาเป็นบรรยากาศพิเศษ เหมาะที่จะให้ลูกหลานของตัวเองจะเข้ามาบวช พิเศษอย่างไรในฤดูนี้
 
บวชช่วงเข้าพรรษาดีอย่างไร 
 
    ประการที่ 1. ดินฟ้าอากาศเป็นใจ คือ ในฤดูร้อนของประเทศไทย เรารู้ๆ กันอยู่ว่า ถึงคราวร้อนก็ร้อนเหลือหลาย ร้อนจนกระทั่งแม้ในทางโลก เด็กนักเรียนก็ปิดเทอมกันภาคฤดูร้อน ฤดูร้อนเรียนกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อากาศมันร้อนหนัก เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็ปิดเรียน ในทางธรรมก็เช่นกัน ถ้าจะให้พระใหม่มาเรียนธรรมะในฤดูร้อนคงย่ำแย่
 
      ในฤดูหนาวก็เช่นกัน สมัยเราเป็นเด็ก ไปโรงเรียนกันในฤดูหนาว เป็นเด็กนักเรียนก็ไปนั่งผิงไฟกันด้วยซ้ำ ไปนั่งงอก่องอขิงกัน บรรยากาศในการเรียนมันหย่อนๆ ไปเหมือนกัน ร้อนไปก็ไม่ดี หนาวไปก็ไม่ดี ฤดูที่ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป เห็นมีอยู่ฤดูเดียวสำหรับประเทศไทย คือ ฤดูฝน หรือฤดูเข้าพรรษานั่นเอง เพราะฉะนั้นช่วงเข้าพรรษา ดินฟ้าอากาศมันพร้อม มันดีพร้อม มันเป็นใจ เหมาะแก่การศึกษาธรรมะ การค้นคว้าธรรมะ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
 
ครูบาอาจารย์จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในช่วงเข้าพรรษา
ครูบาอาจารย์จะพร้อมหน้าพร้อมตามากที่สุดในฤดูเข้าพรรษานี้
 
     ประการที่ 2. ครูก็พร้อม เพราะว่าพระภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านถูกพระวินัยกำหนดแล้วว่า ห้ามไปไหน ต้องพักค้างอยู่ในวัดตลอดพรรษา ดังนั้น ครูบาอาจารย์จึงพร้อมหน้าพร้อมตามากที่สุดในฤดูเข้าพรรษานี้ เพราะฉะนั้นถ้าใครมาเป็นลูกศิษย์ ก็จะได้พบหน้าพระที่เป็นครูบาอาจารย์ทุกองค์เลย โอกาสจะได้รับการถ่ายทอดธรรมะจึงเต็มที่มากกว่าฤดูอื่น
 
     ประการที่ 3. เราถือเป็นค่านิยมกันแล้วว่า พระใหม่ควรจะบวชในฤดูเข้าพรรษา เพราะฉะนั้น ต้องถือว่าฤดูนี้ ดินฟ้าอากาศเป็นใจ ครูบาอาจารย์ คือ พระเก่าก็พร้อม ลูกศิษย์ คือ พระใหม่ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันมาบวชในฤดูนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ความคึกคักในการเรียนมันก็มี
 
     ยิ่งไปกว่านั้น ความพร้อมประการที่ 4. ในส่วนของญาติโยม เมื่อลูกหลานมาบวช ญาติโยมก็เกิดความคึกคักเหมือนกันที่จะมาฟังเทศน์ด้วย เพราะว่ามาด้วยความห่วงพระลูกพระหลานของตัวเอง อีกทั้งยังนำข้าวปลาอาหารมาทำบุญ มาเลี้ยงพระลูกพระหลาน แล้วก็เลยเลี้ยงกันไปทั้งวัดอีกด้วย
 
      ยังไม่พอมาเลี้ยงพระลูกพระหลานเสร็จแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องไปกราบพระที่เป็นครูบาอาจารย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ความคุ้นเคยระหว่างพระกับโยมในช่วงเข้าพรรษาก็มีมากขึ้น ญาติโยมจึงมีโอกาสจะได้ฟังเทศน์ฟังธรรมพร้อมๆกันไปด้วย พระลูกพระหลานก็เข้าห้องเรียนไปห้องหนึ่ง โยมพ่อโยมแม่ก็เข้าฟังเทศน์ในศาลาอีกศาลาหนึ่ง รวมทั้งข้าวปลาอาหารก็มีพร้อมมูลอย่างนี้ บรรยากาศแห่งความสมบูรณ์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมมาพร้อมกันถึง 4 ประการอย่างนี้ ฤดูเข้าพรรษาจึงนับว่าเป็นฤดูที่เหมาะสมต่อการเข้ามาบวชอย่างยิ่ง
 
     จึงเป็นธรรมเนียมกันมาทุกวันนี้ว่า บวชตอนเข้าพรรษานั้นน่าบวชที่สุด เพราะว่ามีโอกาสได้บุญมากที่สุด ทั้งพระผู้บวช คือ ได้ศึกษาเต็มที่ มีโอกาสที่จะโปรดโยมพ่อโยมแม่มากที่สุด เพราะถึงแม้ตัวเองเป็นพระใหม่ยังเทศน์ไม่ได้ แต่พระอาจารย์ในวัดก็ช่วยเทศน์ให้ ทุกอย่างมันสมบูรณ์พูนสุขจริงๆ บวชเข้าพรรษาจึงมีทีท่าว่าได้บุญมากกว่าฤดูอื่น ด้วยประการฉะนี้
 
*เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
โดย หลวงพ่อทัตตะชีโว (เผด็จ ทัตตชีโว)

พรรษาแห่งการบรรลุธรรม

พรรษาแห่งการบรรลุธรรม
 
เข้าพรรษาเข้าถึงธรรม
เข้าพรรษา เข้าถึงธรรม ฝึกฝนอบรมจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
 
     ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์ต่างแสวงหาสถานที่สัปปายะที่เหมาะสมต่อการบำเพ็ญเพียร ทำภาวนาตลอดไตรมาส ทำใจให้หยุดนิ่ง เพิ่มพูนความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ เพื่อจะได้เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ตลอดพรรษาท่านจึงฝึกฝนอบรมจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยไม่ไปแรมราตรีที่ไหน แต่จะแสวงหาทางแห่งความบริสุทธิ์ภายใน ซึ่งเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นี่เอง
 
     ในฤดูเข้าพรรษา ตามพุทธประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมานั้น นอกจากจะกำหนดขอบเขตที่จำพรรษาแล้ว ผู้รู้ทั้งหลายยังกำหนดขอบเขตของใจให้อยู่ในวงกาย คือ อยู่ในปริมณฑลรอบตัว ด้วยการน้อมใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา มีสติไม่ให้เผลอออกนอกตัว เพราะยิ่งดำเนินจิตเข้าสู่กลางภายในได้มากเท่าไร ความสุขและความบริสุทธิ์ ก็จะเพิ่มพูนทับทวีมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ
 
     นอกจากนี้ ท่านจะถือเอาโอกาสนี้ ศึกษาพระปริยัติธรรม รวมทั้งนักธรรมบาลีให้แตกฉานควบคู่ไปด้วย คือ ศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เพื่อจะได้มีความรู้แนะนำสั่งสอนตนเองและชาวโลก ให้ได้รู้แจ้งในธรรมด้วย การเข้าพรรษาในสมัยพุทธกาล ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก พระสงฆ์ในหลายๆ วัด ท่านจะตั้งกติกาที่จะเป็นเหตุให้การปฏิบัติธรรมได้ผลยิ่งขึ้นไป
 
 
วันเข้าพรรษา พรรษาแห่งการบรรลุธรรม

 
     *ดังเช่นในครั้งพุทธกาล สมัยหนึ่ง พระมหาปาละ ซึ่งเคยเป็นลูกเศรษฐีมาก่อน แต่ว่ามีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงได้สละชีวิตทางโลก มุ่งตรงต่อเส้นทางธรรม เพื่อแสวงหาทางที่จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เมื่อบวชแล้วท่านได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
 
    คราวหนึ่ง ท่านเดินทางไปหาสถานที่จำพรรษาตามชนบทกับคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อจะได้ใช้เวลาปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ครั้นชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นพระมาโปรดถึงบ้าน ต่างเกิดจิตเลื่อมใสพากันอาราธนาให้ท่านอยู่จำพรรษาในหมู่บ้านแห่งนั้น พร้อมกับปวารณาตนว่า "ถ้าพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดจำพรรษาอยู่ที่นี่ ก็จะช่วยกันอุปัฏฐากดูแลไม่ให้ท่านลำบาก และจะตั้งใจรักษาศีลเจริญภาวนาตามที่พระสั่งสอน"
 
    พระมหาปาละเห็นว่า หมู่บ้านแห่งนี้เหมาะต่อการทำความเพียร วัดก็อยู่ไม่ไกลบ้าน ทั้งยังไม่มีเสียงดังรบกวน ไม่มีคนพลุกพล่าน ทุกคนในหมู่บ้านก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงตกลงที่จะจำพรรษาที่วัดนั้นด้วยกันหมดทุกรูป
 
    ในวันเข้าพรรษา ท่านได้ปรึกษากับคณะสงฆ์ในวัดว่า "ภายใน พรรษานี้ พวกเราจะตั้งใจปฏิบัติธรรม ให้บรรลุธรรมด้วยวิธีการใดบ้าง" แต่ละรูปต่างบอกวิธีการทำความเพียรของตน เช่น จะตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วทำสมาธิทุกวันไม่ให้ขาด จะไม่มัวมานั่งจับกลุ่มพูดคุยกันในเรื่องไร้สาระ เป็นต้น พระเถระก็อนุโมทนาในความตั้งใจดีของภิกษุแต่ละรูป ส่วนตัวท่านได้ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านมาบวชในช่วงที่อายุมากแล้ว ตลอดพรรษานี้จึงตั้งใจว่าจะเร่งรีบทำความเพียร โดยจะอยู่ในอิริยาบถ 3 เท่านั้น คือ นั่ง เดิน ยืน แต่จะไม่นอนเป็นอันขาด
 
    นอกจากนี้ ท่านยังได้กำชับอีกว่า "พวกเราเรียนพระกัมมัฏฐานจากพระ ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ควรเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญความเกียจคร้าน แต่ทรงยินดีกับผู้ที่ตั้งใจปรารภความเพียร ดังนั้นเราทั้งหลายจะต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ยิ่งๆขึ้นไป" จากนั้นพระเถระก็ตั้งใจทำความเพียรอย่างจริงจัง โดยไม่ยอมจำวัดตลอด 1 เดือน
 
    ต่อมา ดวงตาของท่านเกิดอาการอักเสบ ด้วยความที่ท่านอายุมากแล้ว อีกทั้งกรรมเก่าในอดีตตามมาให้ผล ท่านจึงปวดลูก นัยน์ตามาก น้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลาภิกษุที่คอยอุปัฏฐากท่าน จึงไปปรึกษาแพทย์ในหมู่บ้าน แพทย์ได้ปรุงยามาให้ท่านหยอดตา แต่พระเถระไม่ยอมนอนหยอดตา เพราะเกรงจะผิดสัจจะที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไม่นอน ดังนั้นท่านจึงนั่งหยอดตา ทำให้ไม่หายจากโรค เมื่อแพทย์รู้ข่าวว่าพระเถระยังไม่หาย ก็สงสัยว่าปกติยาหยอดตาที่ปรุงพิเศษนี้ หยอดเพียงครั้งเดียวก็หายแล้ว แต่ทำไมพระเถระถึงยังไม่หาย เมื่อรู้ว่าพระเถระไม่ยอมนอนหยอดตา จึงขอร้องท่านว่า "ขอให้พระคุณเจ้านอนหยอดตาเถิด ถ้าไม่นอนก็รักษาไม่หาย"
 
    พระเถระก็ยังคงนั่งหยอดตา ไม่ยอมเหยียดหลังลงนอน ท่านเตือนสติตนเองว่า "สังสารวัฏนี้ยาวไกลยิ่งนัก ไม่มีใครกำหนดเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดได้ ถ้าเรามัวมาห่วงแต่ดวงตา เราคงจะไม่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปได้ ฉะนั้นเราจะไม่ยอมเห็นแก่ดวงตาคู่นี้"
 
    หลังจากแพทย์กลับไปแล้ว ท่านได้ตั้งใจทำสมาธิภาวนาต่อไป โดยปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกภายนอก แล้วทำใจหยุดนิ่งเข้าสู่กลางภายในเรื่อยไป เมื่อล่วงพ้นมัชฌิมยาม ดวงตาทั้งสองของท่านก็แตกดับไป พร้อมๆ กับดวงธรรมภายในที่สว่างไสวขึ้นมาแทนที่ ท่านได้เข้าถึงธรรมกายอรหัต หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้นเอง
 
พระภายใน เข้าพรรษานี้ต้องเข้าถึงธรรม
พระรัตนตรัยภายในตัว แสงสว่างภายในนำมาซึ่งความสุข
 
    แม้ดวงตาภายนอกจะมืดบอด แต่ตาภายใน คือ ธรรมจักษุของท่านนั้น สว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เป็นแสงสว่างที่นำมาซึ่งความสุข ความบริสุทธิ์ และความรู้แจ้งในธรรมทั้งหลาย แทงตลอดในนิพพาน ภพสาม โลกันตร์ อีกทั้งในพรรษานั้น ท่านยังได้สั่งสอนลูกศิษย์และพุทธบริษัทให้ได้บรรลุธรรมกันมากมาย
 
    เราจะเห็นว่า ในสมัยก่อน ช่วงเข้าพรรษาพระภิกษุจะปรารภความเพียรกันอย่างจริงจัง มีกติกาเพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ส่วนญาติโยมต่างตั้งใจรักษาศีลและเจริญภาวนาตามที่พระสั่งสอน ทำให้เข้าถึงประสบการณ์ภายใน และได้บรรลุธรรมกายในที่สุด
 
    ดังนั้น พรรษานี้ควรให้เป็นพรรษาที่พิเศษสำหรับพวกเราทุกคน เป็นพรรษาแห่งการเข้าถึงธรรม พรรษาแห่งความสมปรารถนา หลวงพ่อปรารถนาเชิญชวนให้ทุกๆคนทั่วโลก นั่งสมาธิกันทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง พรรษานี้ตั้งใจว่า อยากจะให้ได้ 10 ล้านชั่วโมงธรรมกาย แต่ถ้าทำได้มากกว่านั้นก็ยิ่งดี เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจแน่วแน่ว่าตลอดพรรษานี้ เราจะนั่งสมาธิทุกๆวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย นั่งกันทั้งครอบครัว ยิ่งถ้าเรามานั่งรวมกันมากๆ ก็จะยิ่งเกิดกำลังใจซึ่งกันและกัน ให้เปิดบ้านของเราเป็นบ้านกัลยาณมิตร เพื่อเป็นอริยสถานแห่งการบรรลุธรรมของผู้มีบุญ ที่เขาจะมาเข้าถึงธรรม ทำบ้านของเราให้เป็นประดุจทิพยสถานในเมืองมนุษย์ เป็นที่ปฏิบัติธรรมที่สว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน
 
    สถานที่ใดก็ตาม ที่มีการรวมตัวกันทำความดี ความสว่างไสวย่อมบังเกิดขึ้น สิริมงคลทั้งหลายจะหลั่งไหลมาสู่ตัวเรา และทุกคนในครอบครัว ยิ่งกว่านั้น หากเราสามารถชักชวนบุคคลใดให้มาทำใจหยุดใจนิ่ง มาฟังธรรม และมาเข้าถึงธรรมที่บ้านของเราได้ เขาจะไม่มีวันลืมเราเลยจนตลอดชีวิต เราจะอยู่ในดวงใจเขาตลอดเวลา ในฐานะเป็นยอดกัลยาณมิตรผู้ให้แสงสว่างแก่เขาและชาวโลก
 
บวชแทนคุณประเทศชาติและพระพุทธศาสนา บวชเข้าพรรษานี้
บวชเข้าพรรษา เข้าพรรษานี้จะเป็นพรรษาแห่งความสมปราถนาของพวกเราทุกคน
 
    เพราะฉะนั้น หากใครอยากได้บุญใหญ่ ที่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ธรรมติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ และอยากมีญาติมิตรพวกพ้องบริวารที่เป็นนักปราชญ์บัณฑิต เป็นสัมมาทิฐิ มีกัลยาณมิตรคอยแนะนำตลอดเส้นทางการสร้างบารมี ให้เริ่มต้นด้วยการเปิดบ้านกัลยาณมิตร ให้ผู้มีบุญได้มากลั่นกาย วาจา ใจ ทำความบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นแก่โลก โลกของเราก็จะกลายเป็นโลกแก้วที่น่าอยู่ ในวันธรรมดาเราก็ปฏิบัติกันที่บ้าน ส่วนวันอาทิตย์เราก็มาสร้างบารมีรวมกันที่วัด ถ้าทำเช่นนี้ได้ พรรษานี้จะเป็นพรรษาแห่งความสมปรารถนาของพวกเราทุกคน
 
พระธรรมเทศนา โดย: หลวงพ่อธัมมชโย
*มก. เรื่องพระจักขุปาลเถระ เล่ม 40 หน้า 8

รับชมวิดีโอ ประวัติวันเข้าพรรษา