แนะนำ 10 รถมือสองน่าเล่น ค่าตัวร่วงถูกกว่าอีโคคาร์

     อย่างที่ทราบกันดีว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้ยังคงซบเซา ด้วยยอดขายรถที่หลายค่ายยังคงติดลบ ไม่เป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015 ปลายปีนี้ ว่าจะช่วยกระตุ้นยอดจองกันได้บ้าง

 แต่อีกฝากหนึ่งกลับกลายเป็นโอกาสทองสำหรับใครที่อยากได้ของดีราคาถูก เพราะราคารถมือสองใบปัจจุบันลดลงมามาก ซึ่งนอกเหนือจากผลกระทบของโครงการรถยนต์คันแรกที่ยังคงส่งผลอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นเพราะรถป้ายแดงต่างกระหน่ำโปรโมชั่นสารพัด เล่นเอาบางทีผ่อนถูกกว่ารถมือสองก็มี
     www.kcycar.com จึงรวบรวมเอา 10 รถมือสองที่ราคาตกฮวบจนกลายเป็นรถน่าเล่น มาให้คุณผู้อ่านได้พิจารณากัน


Ford Fiesta MK7 รุ่นปี 10-13

ราคาประมาณ: 240,000 - 380,000 บาท
     จัดว่าเป็นรถซับคอมแพ็คที่โดดเด่นในด้านสมรรถนะ อีกทั้งยังได้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรให้เล่นด้วย แต่ด้วยชื่อเสียงในบ้านเราที่ยังเทียบกับเจ้าตลาดไม่ได้ ทำให้ราคามือสองตกลงอย่างชัดเจน ใครชอบฟีลลิ่งรถยุโรปไม่ควรพลาด

Toyota Vios ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 10-13

ราคาประมาณ: 250,000 - 380,000 บาท
     รถยนต์ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งในบ้านเราอย่าง 'วีออส' แม้จะขึ้นชื่อเรื่องราคาขายต่อ แต่เมื่อโฉมใหม่ออกมา โฉมเก่าก็ราคาตกลงไปตามระเบียบ แถมยังไว้ใจได้เรื่องความทนทาน และอะไหล่ที่หาได้ง่าย จึงถือว่าเป็นรถที่น่าใช้รุ่นหนึ่งในตลาด

Mazda 2 รุ่นปี 11-14
ราคาประมาณ: 250,000 - 390,000 บาท
     เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครอยากได้รถเล็ก ประหยัดน้ำมัน และยังมีตัวถังแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตูให้เลือก แม้จะถึงกับเป็นเจ้าตลาด แต่มาสด้า 2 รุ่นนี้ก็ไว้ใจได้เรื่องความทนทาน และไม่จู้จี้จุกจิกจามสไตล์รถญี่ปุ่น

Nissan Tiida ไมเนอร์เชนจ์ 4 ประตู/5ประตู รุ่นปี 10-12

ราคาประมาณ: 260,000 - 330,000 บาท
     ถ้าอยากขยับขยายขึ้นมาอีกนิด 'ทีด้า' ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว เพราะราคามือสองหล่นมาจนคนถอยป้ายแดงแทบหัวใจวาย แต่เอาเข้าจริงๆรถรุ่นนี้ก็โดดเด่นเรื่องความกว้างขวางในห้องโดยสาร บำรุงรักษาง่าย ส่วนสมรรถนะก็ไม่ได้เป็นรองใครเลย

Chevrolet Cruze ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 14-15
ราคาประมาณ: 420,000 - 490,000 บาท
     หากกลัวว่าตัวเลือกที่ผ่านมาอาจจะปีเก่าไปนิด ลองดู 'ครูซ' ที่ดีงามในเรื่องช่วงล่างและดีไซน์ ส่วนเกียร์ที่เคยมีปัญหาก่อนหน้านี้ เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้รับการปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อย สบายใจได้ แถมยังได้ปีใหม่กว่าคู่แข่งด้วย

Honda Civic FD ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 09-11

ราคาประมาณ: 360,000 - 480,000 บาท
     อยากได้รถตลาด ขับง่าย สมรรถนะดี ก็ต้อง 'ซีวิค' เลย ซึ่งโฉม FD ก็ไม่ถือว่าเก่ามากมายนัก ยังพอคบหาได้ (แถมหลายคนยังลงความเห็นว่าสวยกว่าโฉมปัจจุบันเสียอีก) อยากเสริมหล่อก็จับใส่ชุดแต่ง ลงแม็กนิดหน่อย แค่นี้ก็เรียกสาวๆขึ้นรถได้เพียบ!

Nissan Teana ก่อนไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 09-11

ราคาประมาณ: 480,000 - 690,000 บาท
     หากอยากได้รถรุ่นใหญ่ หรูหรา แต่ราคาประหยัดจับต้องได้ 'เทียน่า' ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ด้วยรูปลักษณ์ที่ยังคงไม่ล้าสมัย ฟังก์ชั่นภายในเพียบ เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้ง 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร ได้รถครอบครัวหรูๆ ในราคาแค่อีโคคาร์เท่านั้น

Mitsubishi Triton Megacab ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นปี 10-13
ราคาประมาณ: 260,000 - 450,000 บาท
     รถกระบะเป็นกลุ่มรถยอดนิยมในไทย ดังนั้นราคาของแบรนด์เจ้าตลาดจึงไม่ค่อยตกลงมามากนัก แต่หากหันไปคบแบรนด์รองอย่าง 'มิตซูบิชิ ไทรทัน' ก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน สมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ไม่หนีกันมากมาย แถมยังขนของได้จุใจ เหมาะสำหรับใครที่กำลังทำธุรกิจ

Isuzu MU-7 รุ่นปี 08-12
ราคาประมาณ: 490,000 - 690,000 บาท
     ถ้าราคามือสองรถพีพีวีเจ้าตลาดอย่าง Toyota Fortuner จะยังคงค้างฟ้า ไม่หล่นลงมาง่ายๆ ลองหันไปคบ 'มิว-เซเว่น' จะเป็นไรไป เพราะราคาถูกกว่าเป็นแสนๆ แถมยังอเนกประสงค์ไม่แพ้กัน ใช้อะไหล่เครื่องยนต์ร่วมกับ ดี-แม็กซ์ ได้อีกด้วย หายห่วงเรื่องการบำรุงรักษาได้ยาวๆ

BMW 320d E90 LCI รุ่นปี 10-12
ราคาประมาณ: 980,000 - 1,250,000 บาท
     แม้รถรุ่นนี้อาจผิดคอนเซ็พท์ที่เราตั้งไว้ไปนิด เพราะราคามือสองพุ่งไปอยู่ระดับ 1 ล้านบาท แต่ 320d รหัส E90 LCI คันนี้ราคาร่วงลงมาจากป้ายแดงอยู่เกือบ 2 ล้าน ประกอบกับสมรรถนะอันเลื่องชื่อของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลจากค่ายใบพัด แถมยังมาพร้อมอ็อพชั่นครบๆ ที่รุ่นเบนซินไม่มี ถ้าใครคิดว่ารับราคาและค่าดูแลไหว ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว
 ที่มา : auto.sanook


ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook





เทคนิคเลือกฟิล์มรถยนต์ ..เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

      

Kcycar.com แนะนำการเลือกฟิล์มกรองแสงคุณภาพดี ควรมีคุณสมบัติต่างๆ ของฟิล์ม เช่น % การลดความร้อน, % การลดรังสียูวี, % การสะท้อนแสง, % แสงส่องผ่าน ต้องเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ และควรเป็นไปตามมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตที่มีแหล่งที่มาชัดเจน นำเข้ามาจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐานที่สากลยอมรับ มีที่ตั้งชัดเจน
โดยทั่วไปการรับประกันคุณภาพจะไม่ต่ำกว่า 7 ปี และสิ้นสุดเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องเลือกบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่มั่นใจว่าตลอดระยะเวลาการรับประกัน บริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจฟิล์มกรองแสงอยู่อย่างมั่นคง และพร้อมจะรับผิดชอบหากฟิล์มที่ติดตั้งไปเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ราคาต้องสมเหตุสมผล เหมาะสมกับคุณภาพในระดับยอมรับได้ ไม่ใช่ต้องแพงเพียงเพราะมีชื่อเสียงมานานหรือเพราะโฆษณาเกินจริง ทำให้ตั้งราคาแพงหรือสูงขึ้นอีก ไม่สมคุณภาพที่โฆษณาไว้ ควรพิจารณาถึงวิธีการทดสอบคุณภาพของฟิล์มกรองแสงด้วยว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เช่น ไม่ควรทดสอบฟิล์มด้วยแสงสปอตไลต์ เพราะเวลาเราขับรถจริงๆ เราขับรถภายใต้แสงแดด และแหล่งกำเนิดแสงทั้งสองชนิดนี้ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางครั้งยังมีกรณีฟิล์มที่ใช้เวลาทดสอบกับฟิล์มที่นำมาติดตั้งให้นั้นเป็นคนละชนิดกัน หรือใช้ฟิล์มติดตั้งซ้อนทับกันสองชั้นในการทดสอบ จุดนี้ผู้บริโภคต้องพึงระวัง
เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสงกันความร้อนสู่ห้องโดยสารช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ทำความเย็นแล้วช่วยยืดอายุชิ้นส่วนภายใน ต่อมาคือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าฟิล์มทึบสามารถพรางภายในรถไม่ให้คนภายนอกมองเข้าไปเห็นได้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่เหลือเป็นเรื่องของความสวยงาม เพราะมีฟิล์มแบบแฟชั่นให้ความสวยงามกับรถยนต์ได้ด้วย ความเข้าใจที่ว่าฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้วสีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้ ทุกวันนี้ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จะขายผ่านร้านประดับยนต์ร้านติดตั้งเครื่องเสียงจะมีทั้งได้รับแต่งตั้งจากผู้จำหน่ายโดยตรง กับไม่ได้รับการแต่งตั้ง ร้านที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจะนำฟิล์มเข้ามาจำหน่ายเอง เสี่ยงต่อฟิล์มคุณภาพต่ำ บางแห่งก็เสนอฟิล์มแบบมียี่ห้อให้ดู พอตอนติดตั้งแอบไปเอาฟิล์มอะไรไม่รู้มาติดรถ ควรเลือกร้านที่มีห้องสำหรับการติดฟิล์มโดยเฉพาะ เนื่องจากฝุ่นคือศัตรูตัวร้ายกาจของการติดฟิล์ม ฝีมือช่างต้องชำนาญ หากต้องการให้ฟิล์มอยู่คงทนนาน ช่างติดฟิล์มจะต้องมีฝีมือในการกรีดฟิล์ม เพราะหากฝีมือไม่ดีพอ เวลากรีดฟิล์มลงสู่กระจกจะทำให้ฟิล์มไม่เสมอกัน โดยเฉพาะตรงขอบกระจก และถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น บางครั้งอาจกรีดโดนกระจกรถยนต์และทำให้เป็นรอยได้


 ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วยกาวที่ดีต้องมีความบางใสและเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับกระจกได้ดี ไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วนหรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วนฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว มักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ จำไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย

ที่มา : auto.sanook.com
เรียบแรง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ภาษีรถยนต์ใหม่ 2559 รถอะไรแพงขึ้น และรถอะไรถูกลง มาดูกัน

        ต้องบอกว่าในปี 2559 นี้ในวงการยานยนต์บ้านเรานั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือเรื่องของการปรับใช้ภาษีสรรพสามิตรถยนต์แบบใหม่ ซึ่งใช้อัตราการปล่อยไอเสีย หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก แทนการคิดภาษีแบบเดิมซึ่งคิดจากขนาดจุกระบอกสูบ แน่นอนว่ารถที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์มาก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเสนอข่าวถึงการใช้ระบบบังคับใช้ป้าย “ECO STICKER” ซึ่งป้ายนี้จะแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองและระดับการปล่อยไอเสีย และสำหรับวันนี้มาดูกันว่าในปีหน้านี้รถประเภทไหนจะถูกลง ประเภทไหนจะแพงขึ้นบ้าง
            ส่วนรายละเอียดอัตราภาษีรถแต่ละประเภท เมื่อเทียบกับการคิดแบบเก่าจะแตกต่างกันอย่างไร ตามไปดูกันได้เลย!

รถอีโคคาร์ (Eco Car) เฟส 2 ราคาถูกลง
ถ้าใครเคยอ่านบทความรถอีโคคาร์ของเราจะรู้ว่า โครงสร้างสรรพสามิตโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ สนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 อย่างชัดเจน เพราะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย และที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยรถยนต์โครงการ อีโคคาร์ เฟส 2 ที่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีเพียง 14 % เท่านั้น แต่ถ้าเกิน จะเสีย 17 % เท่ากับ อีโคคาร์ เฟส 1

รถเก๋งหรือรถอเนกประสงค์ไม่เกิน 2,000 ซีซี ปรับภาษีขึ้น 3-10 %
รถยนต์นั่งในพิกัดนี้ ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด มีตั้งแต่ รถยนต์ระดับซับคอมแพคท์ จนถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น ที่หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยลง รวมทั้งเอสยูวีบางรุ่นด้วย
ใน อัตราภาษีเดิม รถยนต์ซับคอมแพคท์ ที่รองรับน้ำมัน E20 เช่น Toyota Vios, Chevrolet Sonic, Ford Fiesta จะเสีย 25 % แต่อัตราใหม่ รถเหล่านี้ถ้าปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 เช่น Honda Jazz จะเสีย 25% เท่าเดิม

รถยนต์คอมแพคท์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780-2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น Toyota Altis (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), Honda Civic , Chevrolet Cruz (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), Mazda3 อัตราเดิมเสีย 22 % ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียเพิ่มเป็น 25 % ส่วนรุ่นที่ปล่อยในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25 % ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30 % หรือ 35 % ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย


รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลาย รุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น Toyota Camry , Honda Accord, Honda CR-V, Nissan Teana, Mazda CX-5 ฯลฯ มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25 % และ 22 % ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ยังคงปล่อยไอเสียในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตรอยู่ ดังนั้น จะเสียภาษี 35 % หรือ 30 % ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ


 นอกจากนี้รถยนต์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่ขนาดซับคอมแพคท์ จนถึงขนาดกลางหลายรุ่น ก็จะถูกคิดภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยไอเสีย
รถเก๋ง/เอสยูวี 2,001-2,500 ซีซี ภาษีแพงขึ้น
ใน พิกัดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งและเอสยูวีขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมบางรุ่น ซึ่งเดิมเสียภาษี 30 % และ 27 % ขึ้นอยู่กับว่ารองรับน้ำมัน E20 หรือ E85 ซึ่งเท่าที่สำรวจรถในตลาด พบว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ระดับนี้ จะปล่อยไอเสีย 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้นจะถูกเพิ่มภาษีเป็น 35 % สำหรับรถที่รองรับน้ำมัน E20 และ 30 % สำหรับบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85
รถกระบะปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ต้องจ่ายเพิ่ม
รถกระบะที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3 % สำหรับรุ่นไม่มีแคบ 5 % สำหรับรุ่นมีแคบ และ 12 % สำหรับรุ่น 4 ประตู แต่ถ้าปล่อยเกินจากนี้ จะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 5 % 7% และ 15 % ตามลำดับ จากข้อมูลปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลให้โดนขึ้นภาษีเกือบทุกรุ่น

รถ PPV (รถกระบะดัดแปลง) จ่ายภาษีเพิ่ม
รถกระบะดัดแปลง หรือ PPV ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20 % ทุกรุ่น ในอัตราใหม่จะเพิ่มเป็น 25 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสีย ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร และ 30 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสียเกิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ส่วนใหญ๋นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่า ในปี 2559 รถพีพีวี จะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10 % แทบทุกรุ่น


รถยนต์ไฮบริดเสียเท่าเดิม ภายใต้เงื่อนไขใหม่
ในโครงสร้างภาษีเดิม รถยนต์ไฮบริดทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 10 % เท่ากัน แต่ภาษีใหม่ จะต้องเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น จึงจะเสียอัตราเดิมที่ 10 % ถ้ามากกว่านั้น ภาษีจะเพิ่มเป็น 20 % จากข้อมูลช่วงต้นปี 2015 พบว่า รถยนต์ไฮบริดหลายรุ่นปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร เช่น Toyota Prius , Honda Accord Hybrid , Mercedes-benz ตระกูลบลูเทคไฮบริดเกือบทุกรุ่น, Porsche Cayenne S E-Hybrid แต่ก็ยังมีบางรุ่น ที่ปล่อยไอเสียมากกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เช่น Mercedes-Benz E 300 BlueTEC HYBRID และ BMW ตระกูล Active Hybrid ทั้งหมด

  สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ อัตราภาษีใหม่นี้ คาดว่าจะทำให้รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในตลาด มีราคาสูงขึ้น เพราะต้นทุนค่าภาษีจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-10 %อย่างไรก็ตาม ภาษีใหม่นี้ จะสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้แก่วงการยานยนต์ไทย โดยจะกระตุ้นให้ผู้ผลิต พัฒนา และสร้างสรรค์รถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน และปล่อยไอเสียต่ำ เพื่อให้อยู่ในพิกัดภาษีที่เหมาะสม ดังนั้น ในระยะยาว คนไทยจะได้ใช้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


อย่าขี้ลืม!! เตรียมปรับโทษลืมพกใบขับขี่มีโทษปรับ 1 หมื่นบาท

     สำหรับวันนี้ก็เป็นข่าวของการแก้ไขกฎหมายจราจรกันอีกแล้ว เพื่อนๆ ที่ได้อ่านอย่าลืมฝากเตือนๆ กันนะ ซึ่งเชื่อว่ากฎหมายใบขับขี่ที่จะแก้ไขต่อไปนี้จะทำให้ใครหลายคนไม่กล้าลืมพก ใบขับขี่กันเลยทีเดียวซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ. จราจร2552 ในระดับสตช. ไปแล้ว ทางบชน. จึงได้ทำการหารือเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่จะเสนอแก้ไขเพิ่มเติม

ปรับโทษลืมพกใบขับขี่ มีโทษปรับ 1 หมื่น


ระหว่างการปรึกหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปก็มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายใบขับ ขี่ หลังจากที่พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเห็น สมควรว่าน่าจะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีโทษหนักกว่าเดิม โดยแต่เดิมนั้น ข้อ หาไม่มีใบอนุญาตขับขี่แต่เดิมมีโทษจำคุก 1 เดือนเสียค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาทเป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 1หมื่นบาท แต่สำหรับคนที่มีใบขับขี่แต่ไม่ยอมพกติดตัวหรือลืมพกติตัวมา แต่เดิมเสียค่าปรับ 1,000 บาท แต่จะเพิ่มอัตราค่าปรับเป็น 5,000 -10,000 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีการเสนอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดรถที่กระทำผิดได้เพราะ ปัจจุบันตามอำนาจพรบ.จราจรทางบกเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจยึดรถเจ้า หน้าที่ตำรวจต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายป.วิอาญาซึ่งใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้นส่ง ผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่สะดวกเท่าที่ควร
นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้เพิ่มโทษในกรณีการขับรถ ประมาทหวาดเสียวซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้อื่นและการขับรถในลักษณะ กีดขวางการจราจรส่งผลให้การจราจรติดขัดอาทิ ขับรถย้อนศรแซงรถในที่คับขันโดยการเพิ่มโทษให้เป็นความผิดลหุโทษและแก้ไข อัตราค่าปรับเป็น1,000-5,000บาทจากเดิมที่มีอัตราค่าปรับ400-1,000บาทสำหรับ การเปรียบเทียบปรับเจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจเปรียบเทียบปรับได้ตามความ เหมาะสมแต่จะต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้บก.จร.สรุป เนื้อหาที่จะดำเนินการแก้ไขเพื่อเสนอสตช.พิจารณาต่อไปทั้งนี้เพื่อให้เจ้า หน้าที่ตำรวจจราจรสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิมากยิ่งขึ้นอีก ทั้งอัตราค่าปรับในข้อหากระทำความผิดกฎหมายจราจรนั้นมีการบังคับใช้มานานยัง ไม่มีการปรับปรุงดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพสังคมใน ปัจจุบัน

ที่มา : unseencar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook


โตโยต้า เผยโฉม ‘Corolla SEMA Edition TRD’ รุ่นพิเศษเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

Toyota เผยโฉม Corolla SEMA Edition TRD ใหม่ ที่มาพร้อมชุดแต่งแท้จากทีอาร์ดี ในงาน SEMA Show 2015 ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

Corolla SEMA Edition TRD ใช้พื้นฐานมาจากโคโรลล่าเวอร์ชั่นสหรัฐฯ รุ่น LE Eco ที่ถูกตกแต่งแบบพิเศษรอบคันเพื่อเพิ่มความสปอร์ตโดยเฉพาะ ซึ่ง TRD ก็คือสำนักแต่งจากค่ายโตโยต้า ย่อมาจาก Toyota Racing Development นั่นเอง

ทั้งนี้ โคโรลล่ารุ่นพิเศษดังกล่าว มาพร้อมเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด แทนที่เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งช่วยเพิ่มความสปอร์ตในการขับขี่ ติดตั้งล้ออัลลอยจาก TRD ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/30 R19 รวมถึงระบบระบายไอเสียจาก TRD ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น ภายนอกยังถูกติดตั้งสปอยเลอร์ลิปด้านหน้า และดิฟฟิวเซอร์สีดำด้านหลัง พร้อมจูนช่วงล่างใหม่จาก TRD ด้วย


MatichonOnline

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook



ตรวจเช็ก “โช้คอัพ” รถยนต์ให้เกาะถนน



โช้คอัพเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ คอยหน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของช่วงล่าง-ตัวถัง ช่วยการทรงตัวของรถยนต์ และดูดซับการสั่นของสปริงทำให้การรถเด้ง ขึ้น-ลง ของรถยนต์เป็นไปอย่างนุ่มนวล ลองมาดูกันว่าโช้คอัพที่คุณใช้เป็นแบบไหน และอาการรถเช่นไรถึงต้องเปลี่ยนโช้คอัพ

โช้คอัพมีอยู่ 2 ระบบ 

1.โช้คอัพระบบ น้ำมันเป็นการทำงานด้วยระบบไฮดรอลิค ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิคจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบ มีการควบคุมวาล์วอยู่ 3 ระดับ โดยการทำงานของวาล์วจังหวะแรก BLEED จะมีผลต่อการขับขี่โดยเฉพาะในอัตราความเร็วต่ำ ส่วนวาล์วควบคุมน้ำมันระดับที่สอง BLOW OFF จะควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ในอัตราความเร็วปกติ และวาล์วควบคุมน้ำมันระดับที่สาม ORIFICE วาล์วจะทำงานในขณะแกนโช้คเคลื่อนตัวในขณะที่รถใช้ความเร็วสูง

2.โช้คอัพระบบ แก๊สโช้คอัพแก๊สแรงดันต่ำ (LOW-PRESSURE GAS SHOCK ABSORBER) โช้คอัพแก๊สแบบนี้ จะมีลักษณะเหมือนโช้คอัพไฮดรอลิคทั่วๆไป แต่มีแก๊สไนโตรเจน (NITROGEN GAS) บรรจุเข้าไปส่วนบนของห้องน้ำมันสำรองแรงดันประมาณ 142 - 213 ปอนด์/ ตารางนิ้ว โช้คอัพแก๊สแรงดันสูง (HI-PRESSURE GAS SHOCK ABSORBER) มีลักษณะต่างจากโช้คอัพแรงดันต่ำคือ โครงสร้างภายในตัวของโช้คอัพจะมีน้ำมันเพียงห้องเดียวไม่มีห้องน้ำมันสำรอง ภายในกระบอกสูบจะบรรจุน้ำมันไฮดรอลิคไว้ด้านบน และจะอัดแก๊สไนโตรเจนไว้ด้านล่าง ประมาณ 284-427 ปอนด์/ ตารางนิ้ว

อาการรถแบบไหนต้องเปลี่ยนโช้คอัพ

  1. ซีลน้ำมันโช้คอัพรั่ว (จะมีน้ำมันไหลออกมา)
  2. โช้คอัพ คด งอ ผิดรูปทรง
  3. รถเด้งกระด้างกว่าปกติ
  4. โช้คมีอาการโยนตัวมาก หลังจากตกหลุม
  5. โช้คอัพเสื่อมสภาพ (ใช้งานเกิน 100,000 กิโลเมตร หรือ 5 ปี)

เรื่องโช้คอัพอาจดูซีเรียสแต่ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ โช้คทั้ง 2 แบบมี ข้อดี/ข้อเสีย แตกต่างกันไปรวมถึงงบประมาณค่าใช้จ่าย ปกติโช้คอัพรถยนต์ที่ติดมากับรถวิศวกรได้คำนวณออกแบบมาให้เหมาะกับลักษณะรถแต่ละรุ่นแล้ว หากไม่ได้เสียหายหรือหมดอายุการใช้งานก็ใช้โช้คเดิมนั่นแหละไม่ต้องเปลี่ยนใหม่

ที่มา : auto.sanook.com
ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook