เทคนิคการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว

เทคนิคการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว
 ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ หลายๆ จังหวัด หลายๆ อำเภอต่างถิ่นในชนบท มักจะมีเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับหน้าหนาวกันมากมายหลายท้องถิ่น เมื่อย่างเข้าปลายเดือนตุลาคม อากาศหนาว จากทางประเทศจีนเริ่มแผ่ขยายลงมาจนผู้ที่อาศัยในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเริ่มรู้สึกถึงความเย็นในยามเช้าๆ

เมื่อหน้าหนาวมาเยือนทีไร ก็ถึงฤดูกาลที่คนส่วนใหญ่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ตามภูเขา ยอดดอยสูงๆ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศหนาวเย็นที่รอคอยมาเกือบปี ซึ่งการขับขี่รถบนถนนที่มีหมอกจัดปกคลุม โดยเฉพาะบริเวณเชิงดอย ซึ่งอาจจะมีควันไฟจากการเผาตอซังข้าว และพงหญ้าริมข้างทางร่วมด้วย เนื่องจากตรงกับช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร จึงส่งผลให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเส้นทางของผู้ขับขี่ลดลงก่อ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะในช่วงหน้าหนาวมักจะมีหมอกหนา และมีความชื้นสูงในช่วงกลางคืนถึงเช้ามืด เราจึงมีข้อแนะนำเพื่อการขับรถเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาวอย่างปลอดภัยกันครับ

สตาร์ทรถอุ่นเครื่องก่อนเริ่มเดินทาง


fog-2         ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นมากๆ น้ำมันเครื่องจะข้นและหนืดขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการหล่อลื่นของน้ำมันเครื่องลดลง อุปกรณ์ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่มีการเคลื่อนไหวจะเกิดการเสียดสีกันมาก ถ้าหากใช้งานในลักษณะดังกล่าวเป็นระยะเวลานานหรือบ่อยครั้ง จะส่งผลให้ชิ้นส่วนหรืออะไหล่ของเครื่องยนต์เสียหายชำรุดเร็วขึ้น ฉะนั้นทุกเช้าที่สตาร์ทรถ ควรติดเครื่องยนต์ไว้ทิ้งอย่างน้อย 30 วินาที ถึง 1 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์อุ่นขึ้น น้ำมันเครื่อง จะได้มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นเต็มที่ เครื่องยนต์ก็จะไม่สึกหรอมาก
 
นอกจากการตรวจสภาพรถตามปกติก่อนออกเดินทางแล้ว ควรตรวจสอบการทำงานของระบบไฟส่องสว่าง ไฟสูง ไฟต่ำ ไฟตัดหมอก ไฟเบรค ไฟเลี้ยวทุกดวงว่ายังทำงานตามปกติครบทุกจุดหรือไม่ เพราะว่าในขณะที่ท่านวิ่งฝ่าสายหมอกหรือควันไฟ แสงไฟของรถจะช่วยให้ท่านมองเห็นรถคันอื่น และรถคันอื่นก็สามารถมองเห็นรถท่านได้อย่างชัดเจน โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็ลดลงไปได้มาก นอกจากนี้ก็ควรตรวจเช็คระบบเบรคและที่ปัดน้ำฝนว่ายังทำ งานได้ดีหรือไม่
การขับรถฝ่าสายหมอกและควันไฟ
เมื่อขับรถเข้ากลุ่มหมอกหรือควันไฟ ต้องชะลอความเร็วก่อนถึงกลุ่มหมอกหรือควันไฟ ยึดแนวเส้นขอบถนนด้านซ้ายเป็นหลักเพื่อไม่ให้ตกถนน หรือจะดูแนวเส้นกึ่งกลางถนนแล้วเยื้องไปทางซ้ายแทนก็ได้ ถ้าหมอกลงจัดมาก หรือควันไฟหนาแน่นมากจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า สิ่งแรกที่ควรทำคือ เปิดไฟตัดหมอกหรือเปิดไฟหน้ารถ และควรขับอย่างระมัดระวัง มองหาสถานที่จอดรถที่ปลอดภัย เช่น ปั้มน้ำมัน หรือจุดพักรถข้างทาง แต่อย่าจอดรถบนไหล่ทางโดยเด็ดขาด เพราะจะเสี่ยงกับการถูกเฉี่ยวชนสูงมาก เมื่อหมอกจางหายหรือควันไฟหมดแล้วค่อยเดินทางต่อจะปลอดภัยกว่า แต่ถ้าสามารถมองเห็นไฟท้ายของรถคันหน้าได้ และไม่มีสถานที่จอดที่ปลอดภัย ก็ให้ขับตามรถคันหน้าช้าๆ โดยขับทิ้งช่วงห่างคันหน้าเพื่อให้มีระยะเบรกพอสมควร และให้ชิดขอบทางด้านซ้ายให้มากที่สุด


ประโยชน์ของไฟตัดหมอก ใช้ให้เป็น จะได้ประโยชน์สูงสุด
สมัยนี้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ มักจะติดตั้งไฟตัดหมอกมาจากโรงงานกันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ขับขี่ในบ้านเรา มักจะใช้ประโยชน์ของไฟตัดหมอกไม่ค่อยถูกที่ ไม่ถูกเวลา และไม่ถูกกาลเทศะ มักจะคิดไปเองว่าไฟตัดหมอกจะช่วยเพิ่มความสว่างหน้ารถในตอนกลางคืน จริงๆ แล้วถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่อันตรายของการเปิดไฟตัดหมอกในสภาวะปกติ นอกจากจะผิดกฏจราจรแล้ว ยังทำให้ผู้ร่วมทางที่ขับรถสวนมารู้สึกรำคาญกับแสงไฟที่แยงตา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
light fog
ลักษณะของไฟตัดหมอกจะไม่เหมือนกับไฟหน้ารถ ตัวไฟตัดหมอกถึงแม้จะมีขนาดเล็กก็จริง แต่ด้วยความที่ไฟชนิดนี้เป็นไฟสปอร์ตไลท์ขนาดเล็ก มีขนาดกำลังวัตต์ไม่เกิน 55 วัตต์ แต่กำลังในการส่องสว่างจะสูงมาก หากใช้ไม่ถูกสถานะการณ์จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 128 มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท


ใช้ไฟตัดหมอก ตำรวจจับ ปรับได้ในกรณีใด?
การใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ตาม 
fog-4

พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2536 ได้มีการระบุการใช้ไฟตัดหมอก สามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรคอันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถและต้องไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือ สวนมาในระยะของแสงไฟ หรือในระยะ 150 เมตร โดยสามารถใช้หลอดไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง ที่มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ เท่านั้น หากมีการใช้ไฟตัดหมอกไม่เป็นไปตามประเภท ลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท  แหล่งอ้างอิงจาก : สภ.พุทธมณฑล


ควรเปิดไฟตัดหมอกเวลาไหนดี
มีข้อแนะนำการเปิดไฟตัดหมอกจากเจ้าพนักงานจราจรดังนี้ครับ
1. เปิดในช่วงฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกหนัก จะมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่มาก เพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขับขึ้นภูเขาสูงหรือตามยอดดอย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆ นั้น  หมอกจะมีมากกว่าปกติ เราสามารถเปิดไฟชนิดนี้ในการขับขี่ได้ครับ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว แต่เมื่อฝนหยุดตกและขับเข้าถนนที่ไม่เปียกก็ต้องปิดไฟตัดหมอกทันทีนะครับ ไม่ผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสามารถเอาผิดกับท่านได้อย่างแน่นอน
4. กรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้
5. ควรปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน


มารยาทในการใช้ไฟตัดหมอก
โดยปกติแล้วไฟตัดหมอกจะส่องไปในแนวระนาบต่ำขนานกับพื้นถนน ช่วยให้ผู้ขับขี่รายอื่นสามารถมองเห็นรถของท่านได้ในระยะไกล และต้องปิดไฟตัดหมอกเมื่อการมองเห็นชัดเจนหรือมีรถขับสวนทางมา เมื่อขับผ่านบริเวณที่มีหมอกลงจัด ห้ามเปิดไฟสูงเพราะแสงไฟจะสะท้อนความขาวของหมอกมาเข้าตาเราทำให้จ้ามากขึ้น และจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้ามองไม่ค่อยเห็นทาง เนื่องจากเกิดเงาของรถยนต์ขึ้นในหมอกข้างหน้า  และห้ามเปิดไฟฉุกเฉินกะพริบเพราะจะสร้างความสับสนกับรถคันอื่น นอกจากนี้ ท่านต้องคอยสังเกตุป้ายสัญลักษณ์เตือนสัญญาณไฟต่างๆ อย่างตั้งใจ เพราะในกลุ่มหมอกจะเห็นป้ายสัญญาณเตือนต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน
 fog-5
การขับขี่รถในเส้นทางที่มีหมอกหนา ถนนจะลื่นกว่าปกติ จึงไมควรแซง เปลี่ยนเลนหรือหยุดรถกระทันหันโดยเด็ดขาดแต่ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวรถก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ต้องใช้ทั้งสัญญาณไฟและเสียงแตรเพื่อบอกให้รถคันอื่นรู้ว่า ท่านจะทำอะไรเพื่อให้เขาระวังตัวด้วย ถ้ามีละอองฝ้าจับที่กระจกรถยนต์ ให้เปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อไล่ไอน้ำที่เกาะกระจกหน้ารถ ลดความเย็นของระบบปรับอากาศลง พร้อมกับเปิดระบบไล่ฝ้าที่กระจกหลัง แต่ถ้าฝ้ายังไม่หายให้เปิดกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้อุณหภูมิภายในและภายนอกตัวรถเท่ากันเร็วขึ้นจะทำให้ฝ้าหายไปได้



ขับรถหน้าหนาว ปิดแอร์ ลดกระจกรับอากาศบริสุทธิ์
สุดท้ายการขับรถเที่ยวในหน้าหนาว ควรปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างรับลมเย็นภายนอกบ้างก็ดีครับ นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่งแล้ว เรายังได้รับอากาศบริสุทธิ์ สดชื่น จากธรรมชาติริมทาง แต่ถ้าไม่ชอบให้ลมปะทะหน้าหรือตีผมจนปลิวไสว ก็สามารถปิดแอร์ขับรถได้ โดยกดปุ่ม A/C ที่ย่อมาจาก Air Compressor เพื่อตัดการทำงานของชุดคอมแอร์ พร้อมกับปรับสวิทช์การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร เป็นรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร วิธีนี้นอกจากจะได้ลมเย็นๆ แล้ว ยังช่วยทำความสะอาดชุดคอยล์เย็นไปด้วยในตัวสามารถช่วยระบายกลิ่นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ของตู้แอร์ให้หายไปได้ด้วยครับ
fog-6

ที่มา : lydrivethai.com
เรียบเรียง : kcycar.com

ติดตามข่าวสารยานยนต์ก่อนใครผ่านทาง Facebook

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น